การปกครองประเทศของประเทศไทยในยุคโบราณ ใช้วิธีการพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นใหญ่เด็ดขาดสมบูรณ์
ครอบคลุมทุกระบบ จึงเรียกว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ทรงจัดตั้งวิธีการ
บริหารประเทศชาติเอาไว้ บน ๓ สถาบัน
๑. สถาบันชาติ อันหมายถึงประชาชน และแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล
๒. สถาบันศาสนา อันหมายถึงพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศสยามหรือประเทศไทย ล้วน
อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
๓. สถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงระบอบกษัตริย์ หรือพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขสูงสุด สืบต่อสันตติวงศ์
โดยระบบรัชทายาท ไม่มีการเลือกตั้งไม่ว่ากรณีใดๆ พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ได้ทำนุบำรุงประเทศชาติด้วย
ความยิ่งใหญ่ ไม่เกรงกลัวอำนาจใคร เมื่อได้ปกครองประเทศแล้ว ก็ได้ใช้สติปัญญาความสามารถ สร้างบ้าน
แปงเมือง รับเอางานของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ มาเป็นภาระสืบทอด ทำให้การดูแลประเทศชาติทั้ง ๓
สถาบัน เป็นไปอย่างเข้มแข็ง แต่ก็เป็นการเข้มแข็งแบบไทย ไม่มีความเจริญหวือหวาเหมือนพวกตะวันตก
ภาระของพระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณคือการรักษาดินแดนที่ได้มา
รักษาราษฎร พสกนิกร ให้มีความปลอดภัย รักษาความเป็น "ชนชาติไทย" เอาไว้สุดความสามารถ แล้ว
จัดการปกครอง ทำนุบำรุงพระศาสนา ทำการก่อสร้างวัด สร้างวิหาร เพื่อความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
สร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศชาติ พัฒนาระเบียบแบบแผนให้ทันกับเหตุการณ์ ดูแลเอาใจใส่ไม่เอาแต่เสวย
สุขส่วนตัว กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวง ปกครองแผ่นดินด้วยความชอบธรรม และเป็นธรรม
มาโดยตลอด
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยปรากฏเรื่องราวชั่วร้ายว่าจะมีกษัตริย์พระองค์ใดกดขี่ข่มเหง ประชาชน มหา
กษัตริย์ไทยมีพระหฤทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถือทศพิธราชธรรมเป็นหลัก สรุปโดยย่อ ประเทศไทยหรือประเทศสยาม
ในยุคพระเจ้าแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้บริหารประเทศภายใต้หลักการ ๓ สถาบัน
อย่างเข้มแข็งตลอดมา
ถ้าจะนับอายุของความเข้มแข็งให้เห็นเป็นรูปธรรม ก็คือนับเอาปี พ.ศ. เป็นตัวแม่บท ซึ่งหมายถึงระบอบ
กษัตริย์ไทย ครองความถูกต้อง ด้วยความเข้มแข็งยาวนานถึง ๒,๔๗๕ ปี
นับแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เมื่อคณะราษฎร์ได้ปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ ...ความไม่ถูกต้องได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับความเข้มแข็งเริ่มอ่อนแอลง โดยเฉพาะ คือ ความไม่
เข้มแข็ง ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
คณะราษฎร์ ได้อำนาจมาจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยเอาพระเจ้าแผ่นดินลงจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาอยู่
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ถือเป็นความผิด ตรงกันข้าม จะยกให้เป็นคุณแก่แผ่น
ดินย่อมได้ เพราะโลกถึงยุคที่จะได้บริหารโดยคนหมู่มากที่มีสติปัญญา ซึ่งคนไทยก็ได้มีสติปัญญาอย่างพอเพียงที่จะ
รับผิดชอบประเทศของตน
แต่คณะราษฎร์ ที่ว่ามีสติปัญญาอย่างพอเพียงนั้น พากันเอาแต่อำนาจจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยไม่ได้รับเอา "
ความรับผิดชอบ" มาด้วย พวกคณะราษฎร์ยังมาเสียเวลากับการยื้อแย่งอำนาจกันเองอย่างยาวนาน มีปฏิวัติ
รัฐประหารมากครั้งหลายหน บางครั้งเอาระเบิดถล่มใส่กัน ไล่ฆ่าซึ้งกันและกัน วางแผนหักหลังกัน ร้ายไปกว่า
นั้น ได้ลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ใครเป็นคนทำไม่มีใครรู้ความ
จริง แต่ก็ปล่อยข่าวชั่วร้าย เกินกว่าจะรับฟังได้
คนไหนได้รับฟัง ก็วินิจฉัยเอาเองว่า ร. ๘ ถูกลอบฆ่า ไม่ใช่ฝีมือของคณะราษฎร์
ความเลวร้ายได้เกิดขึ้นอย่างฮึกโหม ประเทศไทยแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกหัวหน้าใหญ่ของคณะราษฎร์ ทอด
ทิ้งความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง โดยพากันวางตัวเป็นกลางอ้างว่าประเทศไทยมีหลายศาสนา
แต่ละศาสนาล้วนแต่สอนให้เป็นคนดี
ความที่พวกคณะราษฎร์ ได้พากันเป็นเช่นนั้น ได้ส่งต่อแนวความคิดไปสู่นักการเมืองรุ่นต่อมา ที่สืบทอดลัทธิ
ประชาธิปไตย พวกนักการเมืองทั้งหลาย กลายเป็นผู้รับเอาภาระทางการเมืองมาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้ทำ
ให้เกิด "การกระทำ" ต่อพระพุทธศาสนาหลายอย่างหลายวิธีการ ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของ
ประเทศทั้งสิ้น
ข้อแรกเลย ไม่รับเอาภาระของพระเจ้าแผ่นดินที่สำคัญต่างๆ มาปฏิบัติต่อ นักการเมืองคนสำคัญของชาติขาด
การเอาใจใส่ต่อพระพุทธศาสนา นำพาเอาลัทธิประเพณีประเทศอื่นมาปฏิบัติ ตัวเองไม่เข้าวัด ไม่รู้วิธีการฟัง
ธรรม ไม่ให้เวลาแก่วัดอย่างเหมาะสม ถ้าพวกเขาจะพากันไปวัด ก็จัดคนต้อนรับเอิกเกริก ประชาชนแห่ล้อม
หน้าล้อมหลัง หลวงพ่อกลายเป็นประหนึ่ง "หัวคะแนน" ทำให้ศาสนาอื่นดูหมิ่นดูแคลนพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็น
พระศาสนาหลักของชาติผู้บริหารประเทศทุกระดับ ไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชน
ข้อต่อมา ตัวจักรสำคัญที่เป็นประหนึ่ง "ตัวแทน" ขององค์ พระมหากษัตริย์ ที่สมควรได้แสดงออกว่า เป็นผู้
เคร่งในพระพุทธศาสนา เฉกเช่น พระมหากษัตริย์ ไม่ปรากฏว่าจะมีใครรับเอามาทำ มีแต่สนุกสนานสำราญอยู่
กับความมั่งคั่งร่ำรวย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมีหลายคน แต่ละคนมีพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นเนื้อในของ
หัวใจว่า ไม่ได้มีความหนักแน่นในพระพุทธศาสนา
นายกรัฐมนตรีหลายคนแทบว่าไม่เคยสมาทานศีล
ไม่เอาใจใส่ในการขยายพุทธจักรให้ยิ่งใหญ่
มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม คนเดียวเท่านั้น ที่สร้างพุทธมณฑล แต่จอมพล ป. ก็ยังคง
"ขาดแหว่ง" ในเรื่องความมั่นคงของพุทธศาสนาอยู่ดี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นับว่าขาดแหว่งเรื่องความมั่นคงของพระพุทธศาสนา แต่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ยิ่ง
ขาดแหว่งยิ่งกว่า จนแทบกล่าวได้ว่า นายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้น ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้รักษาความมั่นคงให้แก่
พระศาสนาของตน
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จึงกลายเป็นผู้ทำลาย ความมั่นคงของประเทศชาติ โดยไม่รู้ตัว แล้วกลายเป็น
เชื้อให้นักการเมืองอื่นๆ ในประเทศ พลอยเห็นดีเห็นงาม ทำตัวเยี่ยงนายกฯตามไปด้วย เป็นผลก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ประเทศชาติและสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง
ภาพชนชั้นผู้นำทางการเมืองห่างเหินวัด ห่างเหินพระธรรมปรากฏออกมาชัดมาก
ด้วยความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนามีสภาพไม่แตกต่างถูกภาครัฐลอยแพ พระพุทธศาสนาตั้ง
อยู่ได้ เพราะประชาชนอุปถัมภ์แต่เพียงฝ่ายเดียว พระภิกษุสามเณรส่วนมากด้อยและขาดการศึกษาสู้คนใน
ศาสนาอื่นไม่ได้
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ ทรงพระราชทานให้ คือ พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สร้างมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามงกุฎฯ ที่วัดบวร
นิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ ไม่มีการพัฒนา จะขอทุนก่อสร้างแต่ละครั้ง รัฐบาลไม่กล้าให้
เกรงคนศาสนาอื่นจะค่อนแคะ
นักการเมืองไทยที่มีสติปัญญาต่ำต้อย ขาดความรู้ความเข้าใจ คิดว่าตัวเองฉลาด ที่สามารถระงับยับยั้งการ
พัฒนามหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ แทนที่จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กลับกลายเป็นการบ่อนทำลาย "รากเหง้า"
ของสังคมไทยให้ค่อยๆอับเฉาลง
แต่ยังโชคดีที่ประชาชนชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนาร้อยละ ๙๔.๓ พากันอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็งและ
อดทน จึงทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง
มหาวิทยาลัยสงฆ์เจริญได้ส่วนใหญ่อาศัยเงินบริจาค เงินของรัฐมีให้เล็กน้อย
รัฐบาลไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่า พระเณรที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็คือทรัพยากรของชาติ รัฐบาลกลับคิดไป
ในทางลบว่า ถ้าส่งเสริมพระเณรจะทำให้ศาสนาอื่นไม่พอใจ
สิ่งที่นักการเมืองพากันทำ โดยเฉพาะนักการเมืองที่เป็นชาวพุทธโดยสายเลือด นักการเมืองเขาไม่รู้ดอกว่า
ศาสนาคริสต์มีทุนมหาศาลจากสำนักวาติกันคอยเกื้อ หนุน นักการเมืองไม่รู้ดอกว่า ศาสนาอิสลามมีทุนมหาศาล
จากประเทศเศรษฐีน้ำมัน คอยให้การเกื้อหนุน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้ทุ่มเงินลงไปทุกครั้งที่เขาขอมา
มัสยิดกลางปัตตานี ก็เป็นงบประมาณของรัฐ สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์
อาการแบบนี้ นักการเมือง "คิดเอาเอง" ว่าการแสดงออกถึงการปล่อยวาง ไม่เข้าข้างพระพุทธศาสนา มัน
คือการสร้างความสมานฉันท์
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองคิดเอาเองอีกว่า "คิดเพียงแต่ว่า การรักษาฐานเสียงของตน" ย่อมสำคัญกว่า
จึงแสดงจุดยืน เชียร์ศาสนาอื่นมากกว่าพระศาสนาของตน โดยลืมไปว่า ถึงเวลารับสมัครเลือกตั้งจริงๆ
นักการเมืองของชาวพุทธ ในพื้นที่ศาสนาอื่น อย่าหวังเลยว่าจะได้รับชัยชนะ แต่ในเวลาเดียวกัน นักการเมือง
ของศาสนาอื่น กลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น จากพื้นที่ของพุทธบริษัท ตัวอย่างเช่น จังหวัดทางภาคอีสาน
จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวพุทธเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าผู้สมัครหญิง ลูกสาวเจ้าพ่อโรงฆ่าสัตว์
ชื่อและนามสกุลบอกอย่างโทนว่า นับถือศาสนาอื่น ได้รับชัยชนะเป็น ส.ส. เดินเข้าสภาลอยลำไปเลย ทิ้งห่าง
ผู้สมัครพุทธให้สอบตกไม่เป็นท่า...โดยชาวพุทธไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง ให้ ทั้งที่เป็นพุทธด้วยกัน
นับแต่ ส.ส.หญิงท่านนั้นเข้าสภา ไม่เคยปรากฏกายในวัดให้เห็น ไม่ไปร่วมงานบุญประเพณี ครั้นชาวบ้านถาม
ว่าเพราะเหตุไร เธอตอบว่า "ไปไม่ได้...มันเป็นบาป" ท่านเจ้าอาวาสที่เป็นฝ่ายหัวคะแนนสนับสนุน เธอ
บอกว่าไม่เป็นไร คนเรานับถือไม่เหมือนกัน
แต่ในเวลาเดียวกันท่านสมภาร กลับพูดว่านักการเมืองทอดทิ้งวัดไปหมด
นี้คือภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดว่า นักการเมืองไทยที่รับอุดมการณ์สืบทอดมาจากคณะราษฎร์ ได้ปฏิบัติตัวเป็นคนทำ
ร้ายประเทศของตนเอง พากันทึกทักเอาเองว่า การวางตัวเป็นกลาง ได้สร้างอนาคตทางการเมือง ได้เป็น
ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สายสะพายขึ้นบ่า
เป็นนะเป็นได้ แต่ในที่สุด แผ่นดินนี้ได้ถูกคนชาติอื่น เข้ามาอยู่ในประเทศไทย แล้วไม่ยอมเป็นคนไทย ได้ใช้วิธี
สกปรก เอาศาสนาอื่นขึ้นมาเป็นฐานทึ่ตั้งของกองทัพปฏิวัติ แล้วแจกจ่ายอาวุธสู้กับตำรวจและทหาร ไม่เกรง
กลัวความผิดฐานกบฏนักการเมืองพุทธเห็นแล้ว ทำอะไรเขาได้ ห้ามเขาได้ไหม
ตรงกันข้าม ยังพากัน "งมมะหรา" หลงทางอยู่กับการแก้ไข โดยอาศัยความเข้าใจว่า การรักษาความเป็น
กลางแบบผิดๆ จะช่วยให้ประเทศไทยแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
ดังนั้น เมื่อคลำหาความผิดพลาดของรัฐบาลให้ตรงประเด็นแล้ว เราได้พบความเข้าใจผิดของนักการเมือง อัน
เป็นเหตุและปัจจัยหลัก ก่อความเสียหายแก่ประเทศทั้งประเทศยากที่จะแก้ไข วิธีที่จะแก้ไขได้ให้ ๓ จังหวัด
กลับคืนสู่ความปกติสุข ยิ่งนานวันยิ่งห่างออกไปทุกที
ถ้าเราต้องจัดการให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปตามความต้องการของโจรปัตตานี
คนที่ชื่อว่าเป็นคนขายชาติที่แท้จริง คือ นักการเมืองทั้งหลาย
ทั้งนี้เนื่องจากราษฎรทั้งหลาย ไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมแก้ไขปัญหาเลย
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองพากันแสดงตนเป็นคนนำทางความคิด นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน
ให้หลงทาง ประเทศชาติถูกโจรกล่าวหาอะไรออกมา ก็ไม่มีปัญญากล่าวแก้ เช่น โจรกล่าวหาว่า ประเทศไทย
ยึดเอาปัตตานีเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่เคยกล่าวแก้
ถ้าจะกล่าวแก้ ก็สามารถพูดให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้ โดยยกเอาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปัตตานีเป็นดินแดน
ของไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอินทิรา พ.ศ. ๒๐๒๒ เริ่มเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลาม
ปัตตานีเป็นดินแดนของไทยยาวนานติดต่อกัน ไม่เคยมีชื่อว่าเป็นดินแดนของมลายูมาก่อนเลย แต่เหตุที่ปัตตานีมี
คนไทยเชื้อสายมลายู ล้วนแต่เกิดจากการอพยพเข้ามาของคนเชื้อสายมลายูทั้งสิ้น เมื่ออพยพเข้ามาแล้ว ก็
เกาะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ภายใต้การนำของผู้นำทางศาสนา ทำให้คนเชื้อสายมลายูเผ่านี้ ได้ครองความเป็น "
เจ้าถิ่น" แตกต่างไปจากคนไทยเผ่าอื่น สถานะของคนไทยเชื้อสายมลายู จึงพากันยกเมฆกันเองว่าถูก
ประเทศไทยปกครอง
ถ้าเราแก้ข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยเอาประวัติศาสตร์มาเป็นตัวยืนยัน
เราจะหลุดจากข้อกล่าวหา
แต่ "นักการเมืองไทย" ไม่กล้าทำ เพราะเกรงจะเกิดความเสียหายแก่คะแนนเสียงของตนเอง จึงใช้วิธีเอา
หูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่เอาใจใส่ศาสนาของตน ปล่อยให้เชื้อสายมลายูเล่นงานเอาไม่หยุดหย่อน เขาเล่นงาน
ถึงขั้นฆ่า...เผาบ้าน เผาโรงเรียนก็ยังปล่อยให้เขาเล่นงานด้วยความอดกลั้น แล้วก็อ้างว่าเป็นการรักษา
สมานฉันท์ คนที่ชักชวนให้สมานฉันท์อย่างผิดๆ คือ "นายอานันท์ ปันยารชุน" อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัยของไทย
เมื่อคลำเป้าอย่างนี้แล้วจะเห็นความผิดพลาดชัดเจนยิ่งนัก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น