วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

บทที่ ๒ ได้เพื่อน....เล่าความลับให้ฟัง

โรงแยกแก๊สในขณะนั้น เต็มไปด้วยปัญหารอบด้าน ม็อบตั้งประจันหน้าทำท่าจะปะทะกันไม่เว้นแต่ละวัน ทหารที่
มาตั้งบังเกอร์อารักขา ตัวทหารเองก็เอาตัวแทบไม่รอด พวกเราเป็นคนทำงานต้องระวังตัวแจ เพื่อนร่วมงาน
ในโครงการนี้มีหลายพันคน กระจายอยู่ในบริษัทผู้รับช่วง มีทั้งฝรั่ง เกาหลี มาเลเซีย พากันระวังตัวโดยไม่
ต้องอธิบาย บังเกอร์ทหารอยู่ใกล้ประตูเข้าออก พวกผมต้องเดินผ่านบังเกอร์ทั้งขาเข้า และขาออก
หน่วยงานของผมเป็นงานรับเหมาวางท่อในส่วน พี-๒ โดยมีช่างฝีมือจากเหนือและอีสาน เข้ามาเป็นลูกจ้างหลัก
ส่วนลูกมือ จ้างแรงงานหญิงชายจากพี่น้องชาวบ้านในท้องถิ่น โดยเฉพาะได้แก่ชาวจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ระเบียบการทำงานประจำวัน ช่างและคนงานทุกคนจะต้องไปถึงหน้างานก่อนเวลา ๐๖.๓๐ น.ทำงานจนถึง
๑๗.๐๐ น. หรือมืดจึงจะเลิก
ผมจะเรียกแถวทุกเช้า บอกกล่าวเล่าเรื่องของโครงการ ตลอดทั้งความเป็นมาที่น่ารู้ให้แก่เพื่อนร่วมงานฟัง
จะพูดอย่างนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละ ๑๐ นาที เพื่อให้ทุกคนตระหนักในความปลอดภัย และสุดท้ายผมได้ฝากความ
ปรารถนาดีเอาไว้ให้หนุ่มสาวได้คิด
ผมบอกว่า แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคน โรงแยกแก๊สที่เราก่อสร้างเสร็จ จะกลายเป็นสมบัติของชาวใต้ตลอด
กาล แล้วผมก็เล่าต่อไปว่า นี้เป็นโอกาสสำคัญทำให้หนุ่มสาวชาวใต้ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมชาติที่มา จาก
หลายจังหวัด ทั้งเหนือและอีสาน แล้วเราจะกอดคอกันทำงาน จนกว่าจะได้โรงแยกแก๊สทั้งโรง เอามาให้ชาวใต้
การเรียกแถวในลักษณะเช่นนี้ เป็นประเพณีของผู้รับเหมางานขนาดใหญ่ การเรียกแถวที่สำคัญที่สุด คือการ
ปฐมนิเทศเกี่ยวกับความปลอดภัย บริษัทที่รับเหมาในโรงแยกแก๊สมีหลายบริษัท แต่ละบริษัทจะเรียกแถวทุกเช้า
เหมือนกันหมด ต่างคนต่างนำวิธีการอบรมมาพูด แตกต่างกันออกไป บริษัทเหล่านั้น ประกอบด้วย อิตาเลี่ยนไทย
บริษัทบางกอก เป-โตร บริษัท แพม บริษัท บล้าสติ้ง กรุ๊ฟ บริษัทพวกนี้เป็นของคนไทย นอกจากนี้ก็มีบริษัทลูก
ของเกาหลี เช่น บริษัท โซโย บริษัท ชิเอเซีย บริษัท เร็ด-ซี เป็นต้น ตัวผมทำงานอยู่ บริษัท สยาม ซิตี้
โรงแยกแก๊สเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยกับมาเลเซีย เรียกว่า ทราน ไทย-มาเลเซีย (Trans
Thai-Malaysia) หรือ TTM โดยมีบริษัท ซัมซุง จากเกาหลีใต้ เป็นผู้รับเหมาใหญ่ (Main Contractor)
บริษัท ซัมซุง ขนวิศวกรเกาหลีมาคุมงาน ด้วยการปล่อยให้บริษัทรับเหมาช่วง (Subcontractor) ซอยงาน
เอาออกไปทำ
โดยปกติ ชีวิตการทำงานในโครงการขนาดใหญ่ หนุ่มสาวชาวแรงงานจะมีชีวิตชีวาท่าทางกระฉับกระเฉง แต่ที่
โรงงานแยกแก๊สจะนะคราวนี้ มันหงอยเหงาเศร้าสร้อยแตกต่างจากอดีต เราแก้ความหงอยเหงาด้วยการ
อาศัย การเรียกแถวทุกเช้า เป็นเวลาของการปลุกใจ ปลุกประสาทให้ตื่น
หัวหน้าเซฟตี้ (ฝ่ายรักษาความปลอดภัย) จะเป่านกหวีดเรียกแถว ผมออกมายืนคอย คนงานหนุ่มสาววิ่งพรึบมา
จัดแถวโดยไม่ยาก
หนุ่มสาวชาวใต้ไม่เคยได้พบกันมาก่อน ตอนแรกๆก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่หลายวันเข้า เรามีเรื่องเร้าใจมา
พูดให้ฟังเสมอ หัวหน้าระดับแกนนำหลายคน ก็ได้ออกมาพูด เราช่วยกันคนละไม้ละมือ ในที่สุดความแจ่มใสก็
ค่อยๆเกิดขึ้นในหน่วยงาน
ลึกเข้าไปในความรู้สึก ไม่มีใครคิดว่าผมคิดอะไร และได้วางแผนอะไรหรือไม่ แต่ในฐานะผมเป็นคนมีอายุคน
เดียวของโครงการนี้ มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการ หรือเรียกกันในชื่อเป็นภาษานักก่อสร้างว่า โปรเจ็คท์
มาเนเยอร์ (Project Manager) ผมพอจะมีสิทธิพูดคุยอะไรได้เยอะแยะ อีกประการหนึ่ง เมื่อนายช่าง
ระดับทีมงาน ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงจะมีขึ้อิจฉาปะปนอยู่บ้าง ก็ไม่สำคัญอะไร ทำให้ฐานะการเป็นผู้นำ
กลุ่มของผม มีอำนาจต่อรองกับคนงานได้มากขึ้น
อำนาจที่ผมมี อย่างแรกได้แก่การจ้างงาน ให้คุณให้โทษได้
อำนาจต่อมา ผมมีฐานะเป็นผู้จัดการโครงการตามกฎหมาย ไม่ใช่ตั้งตัวเอง ลูกจ้างของบริษัทจำนวนมากจึงให้
การยอมรับผม และนั่น.....คือโอกาสทอง ทำให้ผมได้รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มสาวชาวยะลา ปัตตานี นราธิวาส
บางคนเป็นเครือข่ายโจร บางคนเป็นเพียงเครือญาติ และผมเชื่อเหลือเกินว่า บางคนเป็นโจรก่อการร้ายเสีย
เอง แต่จะทำอย่างไรได้ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่มีทางอื่นใดที่จะเฟ้นหาคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง อีกอย่างหนึ่ง ไม่รู้
จะเฟ้นหาทำไม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด สงขลา นายสมพร ใช้บางยาง (ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว) ได้
ขอร้องให้ทุกหน่วยงาน ว่าจ้างคนท้องถิ่นให้มากที่สุด เพื่อจะได้สร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
หัวหน้างานของผมหลายคนเห็นดีเห็นงามด้วย ให้จ้างคนจาก ๓ จังหวัด บอกไม่ให้ เกรงกลัวอะไร อย่า
กีดกันใคร แม้จะเป็นพวกก่อการร้ายก็ตาม จ้างเอาไว้ก่อน เพื่อความเป็นมิตร อีกประการหนึ่ง เราต้องแสดง
ออกก่อนว่า เราไม่มีการกีดกันผมอยากเอ่ยชื่อไว้ ๓ - ๔ คน เช่น นายประกอบจงคณารักษ์ นายช่างฝ่ายติดตั้งเครื่องจักร นายชูศิษย์ (หรือ
ช้าง) เลาวนากิจกุล ผู้จัดการฝ่ายติดตั้งท่อ นายประภัทร ทิพย์โอสถ วิศวกรประจำโครงการ (Project
Engineer) นายเกียรติเฉลิมรัฐ ไชยยาสิงห์ ตัวแทนบริษัทสยาม ซิตี้ คอร์ปปอร์เรชั่น แต่มีอีกไม่น้อยกว่า ๒๐
คน ที่เป็นคนในท้องถิ่น ผมไม่อาจเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามได้ ถ้าผมเอ่ยชื่อออกไป อาจจะเป็นอันตรายแก่
ครอบครัวและชีวิตส่วนตัวของเขา
ขณะเดียวกันคนเหล่านั้น ไม่รู้ดอกว่าขณะผมทำงานอยู่ในหน้างาน ผมได้แสวงหาความ ลี้ลับควบคู่ไปด้วย ผม
ทำตัวเสมือนสายลับคนหาความจริง ค้นไปค้นมาทำให้ได้รู้ได้เห็นความ ลี้ลับดำมืด จากคำบอกเล่าของคน
โน้นบ้างคนนี้บ้าง นอกจากนี้ ผมโชคดีได้มีความสนิทสนมกับคนงานอีสานคนหนึ่ง พื้นเพเดิมเป็นหนุ่มอุบล ไปเป็น
เขยปัตตานี สมัยยังไม่เข้มงวดเมื่อสิบปีก่อน แม้เขาจะเปลี่ยนศาสนาแล้ว แต่ใจของเขายังไม่ลืม หนุ่มอุบลคนนี้
เป็นกุญแจดอกสำคัญให้ผมได้รับฟังเรื่องต่างๆที่น่าระทึกใจ เขามีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร ก็ต้องใช้ชื่อสมมติ
ขอสมมติชื่อหนุ่มผู้นั้นว่า " คีย์แมนโทน " แล้วผมก็เรียกเขาจนติดปากว่า คีย์แมนโทน ตัวเขาเองก็แปลกใจ
ว่า ทำไมจึงตั้งชื่อเขาว่า คีย์แมนโทน ผมบอกเขาว่า " คีย์แมน" หมายถึง ลูกกุญแจ และคำว่าโทน
หมายถึง " ลูกโทน " ยังไงล่ะ
คีย์แมนโทน นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผมในร้านอาหาร คลาดนาทวี ผมเลี้ยงดูเขาด้วยความเป็นกันเอง ด้วยความรู้
สึกเป็นเชื้อสายอีสานโดยแท้ ผมยกย่องเขาด้วยความจริงใจ ผมบอกเขาว่าใจของเราบริสุทธิ์ทุกอย่าง เกิด
เป็นคนไทยไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา เมื่อได้เป็นเขยก็ดีแล้ว แล้วคุณละหมาดเป็นไหม
เขาบอกว่าเขาละหมาดเป็น ละหมาดด้วยความศรัทธาแต่ไม่ดูดดื่ม พ่อตาเป็นคนดีมาก เคร่งศาสนา แต่เสียอยู่
อย่างเดียว เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไทย พ่อตารักและหวงแหนเชื้อสายเดิมมาก ท่านรักมาเลเซียสุดหัวใจ
ผมรู้ว่าพ่อตาเกลียดคนไทย แต่ท่านก็ดีกับผม ท่านบอกให้ไปตามพี่น้องให้มาเปลี่ยนศาสนา ผมได้มาคนหนึ่งเป็น
ลูกสาวของลุง ตอนนี้แต่งงานกับแขกกลันตันไปแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้ คือเนื้อหาสาระในการพูดคุย โดยผมยังไม่ได้สอบถามอะไรที่ลึกกว่านี้
ออกจากร้านอาหาร ผมกลับห้องพัก เขาขับรถไปนอนบ้านเพื่อนเป็นการชั่วคราว เพราะบ้านเขาอยู่ไกลโข
เดินทางไปมาหลายชั่วโมง ทราบข่าวว่าเขกำลังจะรับภรรยาและลูกมาอยู่ด้วยในเร็ววัน แต่ผมได้บอกกับเขาว่า
ก่อนจะรับลูกเมียมาอยู่ด้วย ผมขอไปเยี่ยมพ่อตาของเขาได้ไหม เขารับปากบอกว่าจะต้องขออนุญาตกับพ่อตาก่อน
เขาขออนุญาตอยู่หลายวัน จึงได้โอกาส
มันเป็นโอกาสที่หาไม่ได้เลย เพราะว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีสายของโจรก่อการร้ายหลายคน ตัวของคีย์แมนโทนบอก
กับผมว่า รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าใครเป็นใคร ไม่มีความลับ เพราะได้มีการประชุมอภิปรายที่หน้าบ้านบ้าง ในมัสยิด
บ้าง สุดแต่สายของโจรจะกำหนด
ตัวของเขาเอง เขาไม่ได้ร่วมด้วย แต่ด้วยความที่เป็นเขย ก็ได้มีโอกาสรู้ ถ้าไม่รู้ก็จะถามเอากับภรรยา เธอ
ก็จะเล่าให้ฟัง ภรรยารักเขามาก เธอบอกว่าถ้าไม่มีเขา เธอจะฆ่าตัวตาย เขาบอกว่าเขาทำงานหนัก ช่วย
เหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง เขาทำตัวดูแลเอาใจใส่ภรรยาเป็นอย่างดี เขามีเธอเพียงคนเดียว
ทำให้เธอเกิดความเชื่อมั่นมาก และถือเขาเป็นสรณะ
โทนบอกต่อไปว่า " เธอรำพันกับผมว่าพระเจ้าส่งผมมาให้เธอ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอิสลามมาก่อนเลย..." สาว
ใต้นี้นะ เป็นคนน่ารักมาก เขาว่า
นี้คือจุดเริ่มต้นในการแลกเปลี่ยนสอบถามแบบมโนสาเร่ สื่อเข้าไปหาครอบครัวจนได้ไปเห็นบ้านเรือน ทำให้
เกิดความเป็นกันเอง ทำให้พ่อตาของเขาที่เกลียดคนไทย แต่ก็เต็มใจต้อนรับ เพราะว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ใน
ประเทศไทย ลูกเขยก็เป็นไทยแท้ เขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้คนไทยเข้าบ้าน จึงเป็นไปไม่ได้
แต่ผมก็ต้องระวังยิ่งยวดไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ผมเล่าให้พ่อตาของโทนฟังว่า ผมเคยไปทำงานใน
มาเลเซีย ๓ - ๔ ปี ผมเล่าไปเรื่อยเปื่อย และบอกเอาไว้ว่า ถ้าจะมีใครอยากทำงานกับผมอีกสองคน ส่งไป
ได้เลย ผมจะเอาเข้าไปทำงานทันที ว่าแล้วก็เอ่ยปากลาผมขอบคุณคีย์แมนโทนที่นำพาผมไปเยี่ยมครอบครัวของเขา
อยู่มาอีก ๑๐ วัน มีข่าวไม่ดี มันเป็นข่าวลือว่า โจรจะฆ่าพวกผมในไซท์งานอย่างน้อย ๕ คน พวกที่ถูก
ขึ้นบัญชีตาย เป็นพวกที่ใสหมวกขาว ระดับนายช่างและผู้จัดการ ผมจึงรีบถาม คีย์แมนโทนด่วนจี๋ เขาบอกว่า
ไม่ใช่ข่าวลือ ขอให้นายหัวรีบย้ายจากนาทวีไปอยู่นาหม่อม ใกล้กับหาดใหญ่ดีกว่า หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในหาดใหญ่
เลย จะได้นอนหลับตาสบายตลอดทั้งคืน
คีย์แมนโทนมีอาการเป็นห่วงผมอย่างยิ่งผมกล่าวขอบคุณเขาที่ยืนยันข่าว ซึ่งข่าวนี้ไม่ได้ลือ รู้กันเฉพาะผม พวกนายช่างหมวกขาวทั้งหลาย พากันรับรู้ไป
จนทั่ว บางคนทนฟังไม่ไหว รีบไปลาออก นายช่างใหญ่ของผมอีกคนหนึ่งชื่อ พงษ์ ธนกาญจน์ เดินทางไปถึงคืน
เดียว รุ่งเช้าหิ้วกระเป๋าไปขึ้นเครื่องที่หาดใหญ่กลับกรุงเทพฯ
ผมบอกกับนายประกอบ จงคณารักษ์ และนายช่างประภัทร ทิพย์โอสถ ให้รีบหาที่ใหม่ด่วนจี๋ แล้วเราก็ย้ายออก
จากนาทวีทันที เพื่อนร่วมงานบางคนบอกว่าหนีทันหวุดหวิด ถ้าออกช้าไปวันหนึ่ง รังรองได้เป็นผีเฝ้านาทวี หลัง
จากเราย้ายออกจากนาทวี อยู่มาอีก ๓ วัน ก็มีการวางระเบิดฆ่าทหารบนถนนสายนาทวี-จะนะ ทหารที่ตั้งบัง
เกอร์อยู่ที่โรงแยกแก๊ส คงจะทราบข่าวการตายของทหารจำนวนนั้น แต่ไม่มีการวิพากย์วิจารณ์ ไม่มีใครพูดกับใครเลย
ผมเดินเข้าไปในร้านลุงที่ขายกาแฟอยู่หน้าโรงงานแต่เช้าตรู่ ตัวลุงเองก็ไม่ถามหาเรื่องราวว่าทหารถูกยิงตาย
พวกคนงานเองไม่ว่าจะมาจากเหนือหรืออีสาน หรือแม้แต่คนงานที่มาจาก ๓ จังหวัด ก็พากันเก็บปากเงียบ
บรรยากาศรอบตัวในจำนวนคนนับพัน เงียบสงบ ทำประหนึ่งไม่รู้ไม่ชี้ แต่ในหัวใจลึกๆ ทุกคนทราบดีว่า บริเวณ
แถบนี้ไม่มีความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง ผมเคยทำงานร่วมกับคนงานแคมป์ใหญที่ระยอง มาบตาพุด และแม้
แต่ต่างประเทศ ปกติเมื่องานเลิกแล้ว คนงานจะพากันสนุกสนานเฮฮา ร้องรำทำเพลงดื่มกิน หรือไม่ก็ตั้งวง
ไฮโล แต่ที่จะนะแห่งนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น ทุกคนมีสัญชาตญาณให้กับตัวเองโดยไม่ต้องป่าวประกาศ
เมื่อเลิกงานแล้ว ก็รีบเข้าที่พัก หุงหาอาหารกินในบ้าน ไม่มีใครออกมาเที่ยวตลาด
ตื่นแต่เช้ารีบเข้าสู่หน้างาน
หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย ได้เตรียมลานกว้างเอาไว้ตรงกลางสนามก่อสร้าง และ นัดแนะกันว่า ถ้าได้
ยินหวอ....ให้ทุกคนทิ้งเครื่องไม้เครื่องมือ ดิ่งไปที่จุดนัดพบ พวกเกาหลี ซัมซุง พวกฝรั่ง และทหาร
รักษาความปลอดภัย ถูกแนะนำให้รู้จักจุดนัดพบ
ผมมองดูบรรยากาศด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ผมตั้งคำถามกับตนเองว่า บ้านเมืองของเราแท้ๆ แต่ไม่แตกต่างจาก
สนามรบ อยู่ในสนามรบยังไม่ต้องพะวงร้ายแรงขนาดนี้ เช่นในสมัยหนึ่ง ผมทำงานในท่ามกลางกระสุนที่
อีรัคตอนรบกับอิหร่าน ตอนทำงานก็สนุก เลิกงานแล้วก็สนุก
แม้ในสมันอีรัคบุกคูเวต เผาเมืองวายวอด คนงานยังพากันอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องตกใจกับทหารอีรัคที่แห่เข้า
เมือง แต่ที่จะนะ....แผ่นดินของไทยแท้ๆ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนจะอึมครึมและน่ากลัวไปหมด
ความจริงแล้ว จะนะ อยู่ไกลจากยะลาไม่ใช่น้อย แต่สถานการณ์ที่จะนะ ไม่แตกต่างจากยะลา ปัตตานี และ
นราธิวาส ยังโชคดีที่โจรป่า ยังไม่ประกาศขึ้นบัญชี พวกโจรป่าได้ใช้ดินแดนในจะนะแถบนี้ให้เป็นประโยชน์
คล้ายกับเป็นสถานที่ซ่องสุมกำลังพล รวมไปถึงบางจุดในสงขลา สระทิ้งพระ และอื่นๆ
คีย์แมนโทนบอกกับผมว่า โจรเน้น ๓ จังหวัดก่อน มันแน่น...และเข้มข้นดี
คีย์แมนโทนบอกอีกว่า โจรตั้งเป้าเอาไว้ไม่เกิน ๓ ปี จะสามารถสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างกว้างขวาง โจร
จะยึดหมู่บ้านก่อน...แต่เป็นการยึดโดยไม่ประกาศ โลกภายนอกจะไม่รู้ว่าโจรได้ยึดแล้ว แต่ภายในหมู่บ้านจะ
รับรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวาง ว่าอำนาจรัฐหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปจากแผ่นดินแถบนี้ชาวบ้านจะอยู่กันอย่างอิสระ
ไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของประเทศอีกต่อไป วิธีการที่จะอยู่อย่างอิสระได้ จะต้องขับไล่ชาวพุทธ ถ้าไม่ยอมหนี
จะฆ่าทิ้ง ทำร้ายพระ ฆ่าพระ....ขัดขวางพระทุกรูปแบบ คีย์แมนโทนเล่าเรื่องราวให้ฟังด้วยความรู้สึกกังวลใจยิ่ง
คีย์แมนโทน เผยให้ฟังว่า พวกโจรวางแผนแนบเนียนมาก จะใช้วิธีปลดปล่อยชาวบ้านให้พ้นอำนาจรัฐดูแลกัน
เองไปพลาง ๆ ก่อน เป็นการหลอกพวกอำนาจรัฐไทยว่า ไม่ได้คิดแบ่งแยกดินแดน แต่พอถึงจุดชี้ขาด จะใช้
พลังชาวบ้าน ๒ ล้านคนรวมตัวกันประกาศปกครองตนเอง จัดตั้งรัฐปัตตานีขึ้น....ผมเชื่อคีย์แมนโทน....เขา
รู้จริง พูดแต่เรื่องจริงให้ฟัง

ไม่มีความคิดเห็น: