ปชป.ดันตั้งนครอิสลาม
โพสต์ทูเดย์ — อดีต ส.ส.ปชป.ชง รูปแบบปกครองพิเศษชายแดนภาคใต้ เลียนแบบมาเลเซีย
นายพีรยศ ราฮิมมูลา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า กลุ่ม ส.ส.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เตรียมจะเสนอรูปแบบการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในลักษณะโครงสร้างพิเศษเพื่อกระจายอำนาจบริหารราชการในพื้นที่
นายพีรยศ กล่าวว่า จะเสนอโครงสร้างดังกล่าวต่อที่ประชุมในเวที ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา พัฒนา ชายแดนใต้ ระหว่างวันที่ 14-15 ก.ค.ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นประธาน ซึ่งจัดที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
“แนวคิดการกระจายอำนาจลงสู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ควรจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยจะมีมุขมนตรีทำหน้าที่เสมือนนายกรัฐมนตรีประจำรัฐ ขณะเดียวกันสุลต่านประจำรัฐ ก็จะทำหน้าที่ดูแลงานด้านพิธีการต่างๆ ซึ่งรูปแบบนี้จะไม่ใช่การปกครองตนเองหรือแบ่งแยกดินแดน แต่เรียกว่าเป็นการปกครองเฉพาะพื้นที่” นายพีรยศ กล่าว
นายพีรยศ กล่าวอีกว่า รูปแบบดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จริงเพียงแค่การปรับโครงสร้างการบริหารราชการในระดับท้องถิ่นและแก้ไขกฎหมายบางข้อ โดยเฉพาะการเพิ่มบทบาทและโครงสร้างรวมถึงยกระดับของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจะยังมีอยู่เหมือนเดิมและจะทำหน้าที่ฐานะตัวแทนรัฐบาลกลาง มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลข้าราชการในภูมิภาค รวมถึงงานพระราชพิธีต่างๆ ส่วนงานการเมืองให้เป็นหน้าที่ของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ด้านนายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผวจ.นราธิวาส กล่าวว่า ขอให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามทุกแห่งไปสอบตรวจประวัติอุสตาซทุกคน เพื่อให้มั่นใจว่าอุสตาซไม่เป็นฝ่ายตรงข้ามและให้ถือว่าโรงเรียนอิสลามบูรพา เป็นตัวอย่างแหล่งซ่องสุมโจรก่อการร้ายจึงขออย่าให้เกิดขึ้นในพื้นที่อีก
“ฝ่ายความมั่นคงยังคงมีข้อมูลว่าโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ จ.นราธิวาส หลายโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุหรือเป็นปอเนาะ สีแดง แต่หลักฐานยังไม่ชัด จึงขอเตือนผู้บริหารและอุสตาซทุกแห่งอย่าไปยุ่งเด็ดขาด” ผวจ.นราธิวาสกล่าว
ทั้งนี้ ผวจ.นราธิวาส ได้เชิญตัวแทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส เขต 1 ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ 13 อำเภอ จ.นราธิวาส ทั้ง 3 เขต เพื่อชี้แจงเรื่องการถอนใบอนุญาตโรงเรียนปอเนาะ
ด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ขณะนี้สามารถควบคุมผู้ต้องหาจากการเข้าตรวจค้นทั้งหมดรวม 356 คน
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
จดหมายจากครูใต้
เรื่อง ขอยืนยันทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ต่อไป
ดิฉันเป็นคนไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่เคยชื่นชม
นับถือแนวความคิดของคุณและติดตามการทำงานของคุณมาช้านาน
ดิฉันเชื่อในความตั้งใจดีของคุณ
นานมาแล้วที่ดิฉันบอกใครๆว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีสุด
เหมาะสมที่สุด และยังคิดเช่นนั้นอยู่
แต่วันนี้ดิฉันและคุณมีความเชื่อในสถานการณ์ภาคใต้ที่ต่างกัน
ดิฉันไม่เคยมีอคติกับใครรวมทั้งคุณ
ดิฉันถือว่าเราต่างคนต่างมีความเชื่อ
เลยขอเรียนว่า
ทำไมถึงมีความเชื่อที่ต่างจากคุณ
ที่เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดความเลวของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ
ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ (คงต้องรวมถึงดิฉันที่เป็นข้าราชการครูด้วย )
ดิฉันขอเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อเป็นครูภาคใต้มา 35 ปี
1. ชาวบ้านแท้ เป็นคนซื่อแต่เชื่อผู้นำอย่างหูหนวก ตาบอด
ผู้หญิงขยันและอดทนอย่างเหลือเชื่อ ( เคยถามคนที่ไม่เคยคลุมหัวฮิญาบ
ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ต้องคลุม เธอบอกว่าผัวได้บุญ ) ในขณะที่ผู้ชาย
ขี้เกียจ อ้างศาสนาเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ( มีลูกกี่คนก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี
เพราะถือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า ) เชื่อในชีวิตหน้า
ชีวิตนี้จะลำบากแค่ไหนก็ได้ ( ตายก็ได้ถ้าผู้นำชี้แนะ
ขนาดที่มีลูกสาวสวย ผู้นำจะชี้เอาเป็นเมียก็ต้องให้ )
2. ผู้นำที่เลว ใช้ศาสนาทำให้ชาวบ้านอยู่ในระบบปิดไม่พูดภาษาไทย
ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไทย ไม่รับรู้โลกภายนอก
เพื่อให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ และมีอำนาจเหนือชาวบ้าน (ผู้ปกครองนักเรียน
แอบมาเล่าว่าอยากให้ลูกเรียนสูงๆบ้าง ทีลูกผู้นำ
เขาส่งเรียนสูงๆ แต่ลูกเรา เขาบอกให้เรียนปอเนาะได้บุญ)
เขาขอให้ครูช่วยหาทางให้ลูกเขาได้เรียนด้วย
ครูก็ช่วยแล้วมาน้ำตาตกทีหลัง เมื่อมาพบว่าเด็กมาเรียนจนจบปริญญา
แล้วเขาไม่รู้จักเรา แถมบางคนทำท่าเหมือนเรามาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ )
3. โดยนิสัยคนพื้นเมืองที่มีความรู้และได้เป็นใหญ่ จะเห็นแก่ตัว
ไม่ช่วยพัฒนาคนระดับล่างให้มีความรู้ ไม่รู้จักบุญคุณคนโดยเฉพาะคน
นอกศาสนา ถ้าใครให้ เขาจะรับ แต่ไม่ให้ตอบเพราะบาป
นักการเมืองรุ่นเก่าจะเอื้อประโยชน์กับผู้นำศาสนาและชาวบ้าน
(เพื่อคะแนนเสียง ) โดยยอมรับเรื่องที่ผู้นำปิดโลกของคนพื้นเมืองจาก
โลกภายนอก ทำให้คนพื้นเมืองอยู่ไปวันๆ อย่างไม่มีอนาคตในโลกนี้
เพราะโลกหน้าต่างหากที่เป็นของจริง เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขายากจน
ก็เป็นความผิดของรัฐบาลที่ไม่เข้าไปดูแล เมื่อเขาพูดไทยไม่ได้และไม่
รู้ว่าที่นี่คือประเทศไทย เขาก็ต้องฟังผู้นำ ในอนาคตพวกเขาจะเป็นพลเมือง
ส่วนใหญ่ในพื้นที่เพราะมีลูกมาก และคนไทยอพยพหนีตาย จากนั้นก็เรียกร้อง
ขอแผ่นดินที่มีแต่พวกเขา เรื่องนี้เล่นไม่ยากในเวทีโลกไม่ใช่หรือ?
4. ระยะหลังเริ่มมีขบวนการแบ่งแยกเชื้อชาติ และส่งเสริมให้ขับไล่ซือแย
(ไทยพุทธ ) ออกจากแผ่นดินรุนแรงขึ้น เนื่องจากได้เงินสนับสนุน
(จากไหนบ้างคุณน่าจะรู้ ) ได้ความฮึกเหิมของชาวอิสลามที่ร่ำรวยขึ้น
และการปลูกฝังว่าอิสลามว่าเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ( แต่อยู่ร่วมกับใครไม่ได้ )
เรื่องอย่างนี้เหมือนน้ำท่วมปาก แต่ไม่มีใครกล้าพูดดังๆ ให้พวกคุณฟัง
เพราะเรากลัวตาย การฆ่ารายวันเกิดขึ้นได้ เพราะผู้ร้ายไม่ต้องปฏิบัติตาม
กฎหมาย เรื่องที่พูดมานี้เพื่อจะบอกคุณว่า ในเมื่อคนพื้นเมืองถูกครอบงำให้คิด
ว่า พวกเขาไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของเขา ทุกสิ่งที่เราให้ เขารับ
แต่เขาขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ เราให้จึงไม่มีบุญคุณต่อคนนอกศาสนา
ดิฉันเจ็บใจเวลาที่เห็นพวกคุณแสดงความเห็นใจคนพวกนี้และว่าเรื่องที่เกิด
ขึ้นเป็น วามผิดของคนไทย คุณรู้กันบ้างไหมว่าทุกสิ่งที่เราทำ
เราไม่เคยมีความคิดว่าเรื่องนี้ทำให้เฉพาะคนไทยเพราะเราทุกคนเป็นคนไทย
ในจังหวัดที่ดิฉันเป็นครูมา 30 ปี ดิฉันไม่เคยเห็นส่วนข้าราชการไหนที่แบ่งเขา
แบ่งเรา มีแต่เขานั่นแหละที่ทำตัวผิดแปลกแตกแยกมากขึ้นทุกวัน
ถ้าคุณอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นแผ่นดินไทย คุณจะรู้สึกอย่างไร
เมื่อเขาเรียกร้องเอาโน่นเอานี่มากขึ้นทุกวัน ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างนี้
ฉันจะต้องหยุดวันนี้ ฉันจะไม่ไหว้ครูร่วมกันคนพุทธ
ฉันจะไม่เรียนวิชานี้
ฯลฯ
ด้วยข้ออ้างว่าเพราะขัดกับหลักศาสนา แล้วเราก็ยอมเขาทุกเรื่อง
และให้เห็นความแตกแยกชัดเจนขึ้นทุกวัน นักการเมืองที่เป็นพวกเขา
ก็พูดเอาแต่ได้ และการเอาแต่ได้ของเขาโดยอ้างศาสนา ก็กดคนของเขา
ให้หูหนวกตาบอด ให้ขี้เกียจ ให้ไม่มีความรู้ เพื่อเขาจะได้ใช้คนพวกนี้เป็นฐาน
โดยมีกลุ่มคนที่มองภาพรวมในเรื่องความไม่เท่าเทียมที่คนในสังคมชนบทได้รับ
(อย่างพวกสิทธิมนุษยชน ) เป็นเครื่องมือ ใจคอคุณจะให้ยอมจนกระทั่งคนไทยที่
อยู่ใน 3 จังหวัดต้องพูดภาษาถิ่นที่โลกนี้เขาไม่พูดกัน เพื่อเข้าใจเขาแต่เขาไม่ต้อง
หัดพูดภาษาไทยเพื่ออยู่ในโลกปัจจุบันได้ กระนั้นหรือ
( แต่ครั้นก็ยังช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเขาถูกสอนว่าเราเป็นคนนอกศาสนานอก
เชื้อชาติเขา )
ทำไมคนไทยที่มีภาษาถิ่นในภาคอื่น เขาไม่ทำกันอย่างนี้บ้าง
ทำไมเขาถึงยอมพูดภาษากลางที่เป็นภาษาราชการ เพราะเขาคิดว่าเป็นคนไทย
แต่คนพวกนั้นไม่เคยคิดใช่ไหม
แล้วเราจะยอมให้เขาคิดต่อไปหรือให้เขาเลิกคิดกันเสียที
ให้เขาได้หลุดพ้นจากการครอบงำของคนที่หาประโยชน์จากความไม่รู้ของพวกเขาจะ
ดีกว่าไม ถ้าหวังดีกับคนพื้นเมืองจริงๆ
ดิฉันแปลกใจที่คนในกลุ่มคุณอานันท์ (ประธานกอส.)พร่ำพูดแต่เรื่องกรือเซะ
เรื่องตากใบ ทำไมไม่เคยพูดถึงผลที่มาจากเหตุ
คุณตัดตอนมาแต่ความผิดของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร
ทำไมคุณไม่พูดบ้างว่าคนที่พาคนพวกนี้มาตายมีความผิดไหม
บ้านเมืองมีกฏเกณฑ์กติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างไร
คนระดับคุณไม่เข้าใจพวกบ้าคลั่งลัทธิเชียวหรือ
ทำไมต้องดูแลเอาใจคนพวกนี้ให้ฮึกเหิมว่ามีคนดีๆในสังคมอย่างพวกคุณคอยหนุน
หลังอยู เขาใช้ประโยชน์จากพวกคุณ (ที่พวกดิฉันแอบเรียกว่าพวกซื่อบริสุทธิ์)
เพื่อสร้างภาพว่าเขาเป็นฝ่ายถูกทั้งที่เขาก่อเหตุร้ายขึ้นในแผ่นดิน
ถ้าคุณเป็นครูมานาน เท่าดิฉันที่เป็นคนภาคกลาง แต่ไปอยู่ที่นั่น
คุณจะรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวขนาดไหน
ดิฉันเคยไปไหนมาไหนในจังหวัดอย่างคนที่เป็นครู เจอลูกศิษย์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เจอผู้คนที่มีอัธยาศัย แม่ค้าในตลาดพูดกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง
แต่ต่างฝ่ายต่างพยายามสื่อสารกัน
จนดิฉันเชื่อว่าจะใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่ได้ แต่สิบปีที่ผ่านมานี้
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง จากการเรียกร้องของผู้ที่อ้างศาสนาทุกวันนี้
เราต้องอยู่ท่ามกลางการไม่ไว้ใจกัน
ทุกอย่างเห็นชัดว่าเลวร้ายมากขึ้นจากการแยกตัวของพวกเขาที่เข้มงวดเรื่อง
การแต่งก ย เรื่องภาษา เรื่องศาสนา และจากเด็กที่เกิดเป็นจำนวนมาก จนน่าตกใจ
เขาเชื่อว่าลูกคือของขวัญจากพระเจ้า ยิ่งมีมากยิ่งดี
แต่ไม่สนใจว่าจะเลี้ยงให้มีคุณภาพได้อย่างไร (รัฐบาลดูแลแก้ไขไปซิ)
สังคมของเขาปัจจุบันนี้ผู้ชายก็ยังแสดงโวหารตามร้านน้ำชา
ทำงานอืดๆเอื่อยๆ นึกจะพักก็พัก นึกจะเลิกก็เลิก เพราะเพื่อนไปทำถนนที่ปัตตานี
ต้องเอาคนงานอีสานไป เพราะคนที่โน่นไม่อดทนทำงาน
(ดีแต่เรียกร้อง)ไม่มีเงินก็ตั้งวงด่าว่าสังคมไม่เป็นธรรม
ใครจะทำธุรกิจก็มีใบปลิวมาขอค่าคุ้มครองแล้ว ใครจะอยากมาลงทุน
เขาพร่ำสอนกันว่า พวกคนเจ๊กคนไทยเอาเปรียบเขา
ทั้งที่มาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ คนที่เคยเป็นมิตรกัน ก็มองกันอย่างไม่ไว้ใจ
ไม่ทักทายปราศรัยกันเหมือนเดิม ครูอิสลามบางคน ที่ไม่ใช่คนที่นี่
บอกว่าคงอยู่ไม่ได้เพราะเขาไม่คลุมหัวก็โดนมองแปลกๆ
จากพวกศาสนาเดียวกัน แต่พวกที่ไม่ใช่อิสลามก็มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
ดิฉันเชื่อว่า ในคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่เป็นฝ่ายอิสลาม
จะต้องแสดงความคับแค้นนานับประการ ที่ได้รับจากบ้านเมือง
ช่วยถามเขาด้วยนะคะว่าทุกวันนี้เขาโดนกดขี่จากใคร
เขาทำตัวกดขี่คนระดับล่างของเขาเองหรือใครทำ ?
มีเรื่องอะไรบ้างที่ภาครัฐปิดโอกาสเขาไม่ให้ได้รับแล้วให้แต่ซือแย
(ไทยพุทธ)จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เคยบ้างไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
จะทรงคิดว่าเขาเป็นคนอื่น
ท่านทรงมีเมตตากับทุกคนทุกหมู่เหล่าอย่างไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง
อย่างนี้แล้วข้าราชการของท่านจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
แผ่นดินนี้ ประเทศนี้
ให้ชีวิตกับเขาได้เจริญก้าวหน้ากว่าคนศาสนาเดียวกัน
เขาควรสำนึกในบุญคุณ ของแผ่นดินและช่วยพัฒนาคนของเขา
แต่เขากลับเลือกใช้ความกลัว ความไม่รู้ของชนชาติเดียวกับเขา
เป็นฐานให้เขาได้เป็นใหญ่ต่อไป เขาทำลายผู้อื่น
เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการเขาคิดว่าทำถูกต้องแล้วหรือ
แล้วพวกคุณก็พลอยเห็นดีเห็นงาม สนับสนุนเขาไปด้วยทั้งที่คุณรู้
เห็นอยู่เต็มตาว่า ประเทศที่ผู้นำแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า
ประชาชนได้รับความเดือดร้อนแค่ไหน
ดิฉันขอประณามและสาปแช่งผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบ
จงประสบแต่ความวิบัติในชีวิต
และขอให้บาปทั้งมวลสืบต่อไปถึงลูกหลานให้เป็นผู้ที่ไม่มีแผ่นดินอยู่อาศัย
สมกับที่บรรพบุรุษได้เนรคุณต่อแผ่นดินเกิด
ขออย่าให้ได้รู้จักกับความสุขสงบเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และเมื่อล่วงลับ
ไปสู่โล หน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์ย่อมรับรู้ในบาปชั่ว
ไม่รับวิญญาณขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ต้องตกนรกหมกไหม้จนชั่วนิรันดร์
เพื่อชดใช้ความผิดอันเลวร้ายที่ทำต่อมนุษย์ผู้บริสุทธิ์และแผ่นดินที่อยู่
อาศัยใน ปจัจุบัน
หนึ่งในครูภาคใต
ดิฉันเป็นคนไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่เคยชื่นชม
นับถือแนวความคิดของคุณและติดตามการทำงานของคุณมาช้านาน
ดิฉันเชื่อในความตั้งใจดีของคุณ
นานมาแล้วที่ดิฉันบอกใครๆว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีสุด
เหมาะสมที่สุด และยังคิดเช่นนั้นอยู่
แต่วันนี้ดิฉันและคุณมีความเชื่อในสถานการณ์ภาคใต้ที่ต่างกัน
ดิฉันไม่เคยมีอคติกับใครรวมทั้งคุณ
ดิฉันถือว่าเราต่างคนต่างมีความเชื่อ
เลยขอเรียนว่า
ทำไมถึงมีความเชื่อที่ต่างจากคุณ
ที่เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดความเลวของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ
ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ (คงต้องรวมถึงดิฉันที่เป็นข้าราชการครูด้วย )
ดิฉันขอเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อเป็นครูภาคใต้มา 35 ปี
1. ชาวบ้านแท้ เป็นคนซื่อแต่เชื่อผู้นำอย่างหูหนวก ตาบอด
ผู้หญิงขยันและอดทนอย่างเหลือเชื่อ ( เคยถามคนที่ไม่เคยคลุมหัวฮิญาบ
ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ต้องคลุม เธอบอกว่าผัวได้บุญ ) ในขณะที่ผู้ชาย
ขี้เกียจ อ้างศาสนาเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ( มีลูกกี่คนก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี
เพราะถือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า ) เชื่อในชีวิตหน้า
ชีวิตนี้จะลำบากแค่ไหนก็ได้ ( ตายก็ได้ถ้าผู้นำชี้แนะ
ขนาดที่มีลูกสาวสวย ผู้นำจะชี้เอาเป็นเมียก็ต้องให้ )
2. ผู้นำที่เลว ใช้ศาสนาทำให้ชาวบ้านอยู่ในระบบปิดไม่พูดภาษาไทย
ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไทย ไม่รับรู้โลกภายนอก
เพื่อให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ และมีอำนาจเหนือชาวบ้าน (ผู้ปกครองนักเรียน
แอบมาเล่าว่าอยากให้ลูกเรียนสูงๆบ้าง ทีลูกผู้นำ
เขาส่งเรียนสูงๆ แต่ลูกเรา เขาบอกให้เรียนปอเนาะได้บุญ)
เขาขอให้ครูช่วยหาทางให้ลูกเขาได้เรียนด้วย
ครูก็ช่วยแล้วมาน้ำตาตกทีหลัง เมื่อมาพบว่าเด็กมาเรียนจนจบปริญญา
แล้วเขาไม่รู้จักเรา แถมบางคนทำท่าเหมือนเรามาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ )
3. โดยนิสัยคนพื้นเมืองที่มีความรู้และได้เป็นใหญ่ จะเห็นแก่ตัว
ไม่ช่วยพัฒนาคนระดับล่างให้มีความรู้ ไม่รู้จักบุญคุณคนโดยเฉพาะคน
นอกศาสนา ถ้าใครให้ เขาจะรับ แต่ไม่ให้ตอบเพราะบาป
นักการเมืองรุ่นเก่าจะเอื้อประโยชน์กับผู้นำศาสนาและชาวบ้าน
(เพื่อคะแนนเสียง ) โดยยอมรับเรื่องที่ผู้นำปิดโลกของคนพื้นเมืองจาก
โลกภายนอก ทำให้คนพื้นเมืองอยู่ไปวันๆ อย่างไม่มีอนาคตในโลกนี้
เพราะโลกหน้าต่างหากที่เป็นของจริง เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขายากจน
ก็เป็นความผิดของรัฐบาลที่ไม่เข้าไปดูแล เมื่อเขาพูดไทยไม่ได้และไม่
รู้ว่าที่นี่คือประเทศไทย เขาก็ต้องฟังผู้นำ ในอนาคตพวกเขาจะเป็นพลเมือง
ส่วนใหญ่ในพื้นที่เพราะมีลูกมาก และคนไทยอพยพหนีตาย จากนั้นก็เรียกร้อง
ขอแผ่นดินที่มีแต่พวกเขา เรื่องนี้เล่นไม่ยากในเวทีโลกไม่ใช่หรือ?
4. ระยะหลังเริ่มมีขบวนการแบ่งแยกเชื้อชาติ และส่งเสริมให้ขับไล่ซือแย
(ไทยพุทธ ) ออกจากแผ่นดินรุนแรงขึ้น เนื่องจากได้เงินสนับสนุน
(จากไหนบ้างคุณน่าจะรู้ ) ได้ความฮึกเหิมของชาวอิสลามที่ร่ำรวยขึ้น
และการปลูกฝังว่าอิสลามว่าเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ( แต่อยู่ร่วมกับใครไม่ได้ )
เรื่องอย่างนี้เหมือนน้ำท่วมปาก แต่ไม่มีใครกล้าพูดดังๆ ให้พวกคุณฟัง
เพราะเรากลัวตาย การฆ่ารายวันเกิดขึ้นได้ เพราะผู้ร้ายไม่ต้องปฏิบัติตาม
กฎหมาย เรื่องที่พูดมานี้เพื่อจะบอกคุณว่า ในเมื่อคนพื้นเมืองถูกครอบงำให้คิด
ว่า พวกเขาไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของเขา ทุกสิ่งที่เราให้ เขารับ
แต่เขาขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ เราให้จึงไม่มีบุญคุณต่อคนนอกศาสนา
ดิฉันเจ็บใจเวลาที่เห็นพวกคุณแสดงความเห็นใจคนพวกนี้และว่าเรื่องที่เกิด
ขึ้นเป็น วามผิดของคนไทย คุณรู้กันบ้างไหมว่าทุกสิ่งที่เราทำ
เราไม่เคยมีความคิดว่าเรื่องนี้ทำให้เฉพาะคนไทยเพราะเราทุกคนเป็นคนไทย
ในจังหวัดที่ดิฉันเป็นครูมา 30 ปี ดิฉันไม่เคยเห็นส่วนข้าราชการไหนที่แบ่งเขา
แบ่งเรา มีแต่เขานั่นแหละที่ทำตัวผิดแปลกแตกแยกมากขึ้นทุกวัน
ถ้าคุณอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นแผ่นดินไทย คุณจะรู้สึกอย่างไร
เมื่อเขาเรียกร้องเอาโน่นเอานี่มากขึ้นทุกวัน ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างนี้
ฉันจะต้องหยุดวันนี้ ฉันจะไม่ไหว้ครูร่วมกันคนพุทธ
ฉันจะไม่เรียนวิชานี้
ฯลฯ
ด้วยข้ออ้างว่าเพราะขัดกับหลักศาสนา แล้วเราก็ยอมเขาทุกเรื่อง
และให้เห็นความแตกแยกชัดเจนขึ้นทุกวัน นักการเมืองที่เป็นพวกเขา
ก็พูดเอาแต่ได้ และการเอาแต่ได้ของเขาโดยอ้างศาสนา ก็กดคนของเขา
ให้หูหนวกตาบอด ให้ขี้เกียจ ให้ไม่มีความรู้ เพื่อเขาจะได้ใช้คนพวกนี้เป็นฐาน
โดยมีกลุ่มคนที่มองภาพรวมในเรื่องความไม่เท่าเทียมที่คนในสังคมชนบทได้รับ
(อย่างพวกสิทธิมนุษยชน ) เป็นเครื่องมือ ใจคอคุณจะให้ยอมจนกระทั่งคนไทยที่
อยู่ใน 3 จังหวัดต้องพูดภาษาถิ่นที่โลกนี้เขาไม่พูดกัน เพื่อเข้าใจเขาแต่เขาไม่ต้อง
หัดพูดภาษาไทยเพื่ออยู่ในโลกปัจจุบันได้ กระนั้นหรือ
( แต่ครั้นก็ยังช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเขาถูกสอนว่าเราเป็นคนนอกศาสนานอก
เชื้อชาติเขา )
ทำไมคนไทยที่มีภาษาถิ่นในภาคอื่น เขาไม่ทำกันอย่างนี้บ้าง
ทำไมเขาถึงยอมพูดภาษากลางที่เป็นภาษาราชการ เพราะเขาคิดว่าเป็นคนไทย
แต่คนพวกนั้นไม่เคยคิดใช่ไหม
แล้วเราจะยอมให้เขาคิดต่อไปหรือให้เขาเลิกคิดกันเสียที
ให้เขาได้หลุดพ้นจากการครอบงำของคนที่หาประโยชน์จากความไม่รู้ของพวกเขาจะ
ดีกว่าไม ถ้าหวังดีกับคนพื้นเมืองจริงๆ
ดิฉันแปลกใจที่คนในกลุ่มคุณอานันท์ (ประธานกอส.)พร่ำพูดแต่เรื่องกรือเซะ
เรื่องตากใบ ทำไมไม่เคยพูดถึงผลที่มาจากเหตุ
คุณตัดตอนมาแต่ความผิดของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร
ทำไมคุณไม่พูดบ้างว่าคนที่พาคนพวกนี้มาตายมีความผิดไหม
บ้านเมืองมีกฏเกณฑ์กติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างไร
คนระดับคุณไม่เข้าใจพวกบ้าคลั่งลัทธิเชียวหรือ
ทำไมต้องดูแลเอาใจคนพวกนี้ให้ฮึกเหิมว่ามีคนดีๆในสังคมอย่างพวกคุณคอยหนุน
หลังอยู เขาใช้ประโยชน์จากพวกคุณ (ที่พวกดิฉันแอบเรียกว่าพวกซื่อบริสุทธิ์)
เพื่อสร้างภาพว่าเขาเป็นฝ่ายถูกทั้งที่เขาก่อเหตุร้ายขึ้นในแผ่นดิน
ถ้าคุณเป็นครูมานาน เท่าดิฉันที่เป็นคนภาคกลาง แต่ไปอยู่ที่นั่น
คุณจะรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวขนาดไหน
ดิฉันเคยไปไหนมาไหนในจังหวัดอย่างคนที่เป็นครู เจอลูกศิษย์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เจอผู้คนที่มีอัธยาศัย แม่ค้าในตลาดพูดกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง
แต่ต่างฝ่ายต่างพยายามสื่อสารกัน
จนดิฉันเชื่อว่าจะใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่ได้ แต่สิบปีที่ผ่านมานี้
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง จากการเรียกร้องของผู้ที่อ้างศาสนาทุกวันนี้
เราต้องอยู่ท่ามกลางการไม่ไว้ใจกัน
ทุกอย่างเห็นชัดว่าเลวร้ายมากขึ้นจากการแยกตัวของพวกเขาที่เข้มงวดเรื่อง
การแต่งก ย เรื่องภาษา เรื่องศาสนา และจากเด็กที่เกิดเป็นจำนวนมาก จนน่าตกใจ
เขาเชื่อว่าลูกคือของขวัญจากพระเจ้า ยิ่งมีมากยิ่งดี
แต่ไม่สนใจว่าจะเลี้ยงให้มีคุณภาพได้อย่างไร (รัฐบาลดูแลแก้ไขไปซิ)
สังคมของเขาปัจจุบันนี้ผู้ชายก็ยังแสดงโวหารตามร้านน้ำชา
ทำงานอืดๆเอื่อยๆ นึกจะพักก็พัก นึกจะเลิกก็เลิก เพราะเพื่อนไปทำถนนที่ปัตตานี
ต้องเอาคนงานอีสานไป เพราะคนที่โน่นไม่อดทนทำงาน
(ดีแต่เรียกร้อง)ไม่มีเงินก็ตั้งวงด่าว่าสังคมไม่เป็นธรรม
ใครจะทำธุรกิจก็มีใบปลิวมาขอค่าคุ้มครองแล้ว ใครจะอยากมาลงทุน
เขาพร่ำสอนกันว่า พวกคนเจ๊กคนไทยเอาเปรียบเขา
ทั้งที่มาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ คนที่เคยเป็นมิตรกัน ก็มองกันอย่างไม่ไว้ใจ
ไม่ทักทายปราศรัยกันเหมือนเดิม ครูอิสลามบางคน ที่ไม่ใช่คนที่นี่
บอกว่าคงอยู่ไม่ได้เพราะเขาไม่คลุมหัวก็โดนมองแปลกๆ
จากพวกศาสนาเดียวกัน แต่พวกที่ไม่ใช่อิสลามก็มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
ดิฉันเชื่อว่า ในคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่เป็นฝ่ายอิสลาม
จะต้องแสดงความคับแค้นนานับประการ ที่ได้รับจากบ้านเมือง
ช่วยถามเขาด้วยนะคะว่าทุกวันนี้เขาโดนกดขี่จากใคร
เขาทำตัวกดขี่คนระดับล่างของเขาเองหรือใครทำ ?
มีเรื่องอะไรบ้างที่ภาครัฐปิดโอกาสเขาไม่ให้ได้รับแล้วให้แต่ซือแย
(ไทยพุทธ)จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เคยบ้างไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
จะทรงคิดว่าเขาเป็นคนอื่น
ท่านทรงมีเมตตากับทุกคนทุกหมู่เหล่าอย่างไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง
อย่างนี้แล้วข้าราชการของท่านจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
แผ่นดินนี้ ประเทศนี้
ให้ชีวิตกับเขาได้เจริญก้าวหน้ากว่าคนศาสนาเดียวกัน
เขาควรสำนึกในบุญคุณ ของแผ่นดินและช่วยพัฒนาคนของเขา
แต่เขากลับเลือกใช้ความกลัว ความไม่รู้ของชนชาติเดียวกับเขา
เป็นฐานให้เขาได้เป็นใหญ่ต่อไป เขาทำลายผู้อื่น
เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการเขาคิดว่าทำถูกต้องแล้วหรือ
แล้วพวกคุณก็พลอยเห็นดีเห็นงาม สนับสนุนเขาไปด้วยทั้งที่คุณรู้
เห็นอยู่เต็มตาว่า ประเทศที่ผู้นำแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า
ประชาชนได้รับความเดือดร้อนแค่ไหน
ดิฉันขอประณามและสาปแช่งผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบ
จงประสบแต่ความวิบัติในชีวิต
และขอให้บาปทั้งมวลสืบต่อไปถึงลูกหลานให้เป็นผู้ที่ไม่มีแผ่นดินอยู่อาศัย
สมกับที่บรรพบุรุษได้เนรคุณต่อแผ่นดินเกิด
ขออย่าให้ได้รู้จักกับความสุขสงบเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และเมื่อล่วงลับ
ไปสู่โล หน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์ย่อมรับรู้ในบาปชั่ว
ไม่รับวิญญาณขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ต้องตกนรกหมกไหม้จนชั่วนิรันดร์
เพื่อชดใช้ความผิดอันเลวร้ายที่ทำต่อมนุษย์ผู้บริสุทธิ์และแผ่นดินที่อยู่
อาศัยใน ปจัจุบัน
หนึ่งในครูภาคใต
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
บทที่ ๒๔ ข้อเสนอความคิดเห็น แนวทางแก้ปัญหา...โดย สอาด จันทร์ดี
รักใดจะใหญ่เท่ารักชาติไม่มี
เมื่อรู้ว่าแผ่นดินอันเป็นที่รักจะถูกยื้อแย่งเอาไปไม่ว่าน้อยหรือมาก จิตที่หวงแหนย่อมจะเกิดวิตกกังวลไปต่างๆ
นานา เกรงว่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
ดังนั้น จึงเห็นว่าเมื่อได้เขียนเล่าเรื่องพอประเทืองปัญญา ให้แก่ท่านผู้อ่านได้ร่วมรับรู้เอาไว้ว่าไฟใต้ ใครบงการ ?
ผมจึงอยากนำเสนอความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้
สรุป หรือ "ย่อ" ความผิดพลาด ๕ ประการของฝ่ายรัฐบาล
๑. คณะผู้บริหารประเทศทุกระดับ ทุกกลุ่มไม่เข้าใจทฤษฏีของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง นั้นก็คือ "คนดี - ทำชั่ว
ได้ยาก ทำดีได้ง่าย ในมุมมองตรงกันข้าม คนชั่ว - ทำดีได้ยาก ทำชั่วได้ง่าย" ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ขององค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้ประเทศของเราตกเป็นเหยื่อของโจรชั่วที่ก่อกรรมทำบาป เพราะคนชั่วย่อมทำ
ชั่วได้ง่าย พวกเขาไม่ยอมทำความดี ไม่เลิกฆ่า
ประกอบกับคนที่ทางการส่งมาและให้ไปแก้ปัญหาที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้ตระหนักถึงพิษสงร้ายกาจ
อันจะเกิดจากพวกคนชั่ว หลงเชื่อว่าแนวทางของรัฐบาล จะแก้ปัญหาได้ เมื่อนำแนวคิดของรัฐบาลเอาไปปฏิบัติ
แทนที่จะเกิดผลดี กลับตกอยู่ภายใต้เล่ห์เหลี่ยมของโจร และร้ายแรงจนพากันไปติดกับโจร
๒. ความผิดพลาดอีกประการหนึ่งเกิดจาก "คำเท็จ" ที่โจรปัตตานีประกาศเสมอว่า ข้าราชการข่มเหงรังแก
คนพุทธเบียดเบียนอิสลาม รัฐบาลทุกรัฐบาลพากันออกมาแก้สถานการณ์นี้ ด้วยการประกาศว่า "ต่อไปจะดูแล
อย่างใกล้ชิด ไม่ให้ข้าราชการชั่วๆ มาข่มเหงรังแก" เมื่อรัฐบาลประกาศออกมาเช่นนี้ สื่อก็พากันเอามาเสนอ
เป็นข่าวต่อ แล้วเผยแพร่ไปทั่วประเทศ เป็นผลทำให้ "คำเท็จ" ที่โจรสร้างขึ้นมากลายเป็นความจริง ทั้งๆที่ไม่จริง
เพราะความจริงนั้น พวกโจรปัตตานีเป็นฝ่ายข่มเหงรังแกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ
พุทธไม่ได้เบียดเบียนอิสสาม ไม่ว่ากรณีใดๆ
๓.สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมานาน โจรปัตตานีขัดขวางพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูไม่ให้ยอมรับการเป็นคนไทย ห้ามไม่
ให้เรียนภาษาไทย ห้ามพูดไทย ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามแต่งงานกับคนไทยพุทธ ห้ามไม่ให้เคารพนับถือ
สถาบันของชาติ ห้ามทุกสิ่งทุกอย่าง และแสดงออกมาอย่างเปิดเผย
ต่อมาผู้นำของประเทศเห็นดีงามกับการให้ถือสองสัญชาติได้อย่างอิสระ ประเทศไทยทำตามคำขอร้องของผู้นำ
มาเลเซีย ตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ถูกต้มตุ๋นให้เสียท่ายากที่จะเอาคืน ไทยแก้ปัญหาด้วยการใช้เงิน "ซื้อใจ"
ใช้ประโยชน์เอามาปรนเปรอ หมายจะโน้มน้าวจิตใจไม่ให้เกลียดชังประเทศไทย โดยไม่ได้ติดตามดูความเป็น
จริง ว่าสิ่งที่ทำไปได้ผลหรือไม่ เป็นความผิดพลาดเชิงนโยบาย ที่กัดกร่อนกินเนื้อตัวเองมาเนิ่นนาน
๔. โจรปัตตานีใช้หลักการศาสนาอิสลาม เอามาเป็น"ทฤษฏีชี้นำ" (element) มีการต่อรองในทุกระดับ โจร
ปัตตานีใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ข่มขู่แล้วขอ ขอแล้วข่มขู่ สลับกันไปอย่างมีระบบ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลตกเป็นเบี้ย
ล่าง อ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำให้ฝ่ายโจรปัตตานีได้โอกาสบั่นทอนความมั่นคงของพระพุทธศาสนา
ฝ่ายรัฐบาลเอง ถูกวิธีการของโจรคุกคามเอา จนเกิดความรู้สึกผิดพลาดต่อพระพุทธศาสนาของตน เกิดความรู้
สึกว่า ถ้าเข้าข้างชาวพุทธมาก จะถูกโจมตีว่าลำเอียง จนสุดท้าย โจรฆ่าพระอย่างป่าเถื่อน เยาะเย้ย ฝ่าย
รัฐบาลคงเรียกร้องให้สมานฉันท์ อันเป็นการยอมแพ้โดยปริยาย
๕. ในคณะรัฐบาลและหน่วยราชการ ทำเนียบรัฐบาล หรือ รัฐสภา หรือสภาท้องถิ่น รวมทั้งสื่อบางฉบับ เป็น
แนวร่วมของโจร เป็นไส้ศึก หรือมีหัวหน้าโจรปะปนอยู่ด้วย ตั้งแต่ระดับสูง ลงมาจนถึงระดับล่าง โจรจึงมี
ประสิทธิภาพในการวางแผนก่อวินาศกรรม ออกคำสั่งทับซ้อนจนก่อให้เกิดความผิดพลาด ก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง
เกิดความสับสน ขลุกขลักน่าตำหนิ
สรุป หรือ "ย่อ" ความต้องการของโจรปัตตานีมี ๒ ประการ
๑. โจรปัตตานีเดินหน้าต่อสู้ "แบ่งแยกดินแดน" ทั้งในและนอกประเทศ
ได้วางเครือข่ายเอาไว้อย่างครบถ้วน และได้สร้างองคาพยพให้มีความพร้อมในหลายระดับ ที่จะจัดการให้เกิด
การเปลี่ยนแปลง โจรปัตตานีตั้งเป้า หมายเอาไว้ประการเดียว คือ การแบ่งแยกดินแดน แยกปัตตานี ยะลา
นราธิวาส ออกมาเป็นเอกราช ตั้งเป็นประเทศใหม่ขึ้นในโลก
วิธีการแบ่งแยกดินแดน จะใช้แนวหน้าเฉพาะผู้คนในพื้นที่ ๓ จังหวัด ลดจากเดิมที่เคยประกาศว่า ๔ หรือ ๕
จังหวัด เพื่อจะได้ทำให้การต่อสู้มีอำนาจรุนแรง (Violation) อย่างแท้จริง
๒. โจรปัตตานี มีวัตถุประสงค์ที่จะขยายอำนาจของอิสลามให้ขยับเข้าไปเกาะกุมพี้นที่ในทุก ส่วนของ
ประเทศไทย จึงจัดหาทุน ส่งเสริม"มุสลิม" ให้เคลื่อนย้ายครอบครัวไปอยู่ในทุกจังหวัดเอาไว้ให้ได้ แล้วจะ
ขยายไปสู่อำเภอ ลงไปสู่ตำบลและหมู่บ้าน แล้วออกมาตรการ ที่ไหนมีอิสลาม ที่นั่นจะมีสุเหร่า หรือ มัสยิด มีน
โยบายที่จะยึดหัวหาด สร้างอาณาจักรไทยให้เป็นรัฐมุสลิมให้ได้ภายใน ๑๐๐ ปีข้างหน้า หรือว่าถ้าเป็นไปไม่ได้
ก็จะต้องได้อำนาจมากกว่าครึ่ง ได้เกาะกุมระบบของประเทศ จนสามารถสร้างรัฐอิสลามในประเทศไทยได้ในที่สุด
ดังนั้นถ้าจะให้โจรสมานฉันท์ โจรต้องได้ในสิ่งที่เขาต่อสู้ถ้าจะให้โจรรับคำขอโทษ เขาจะต้องได้สิ่งที่เขาต้อง
การตอบแทนก่อนเท่านั้นและถ้าจะให้โจรเลิกการต่อสู้ เขามีคำถามอยู่แล้ว เขาได้อะไรประเทศไทยหมด
โอกาสที่จะเจรจาสงบศึก หรือว่า แม้ว่าเขาจะยอมสงบศึก...นั้นเป็นยุทธการที่ถูกวางเอาไว้ เพื่อชัยชนะใน
วันข้างหน้า
วิเคราะห์ข้อสรุป
ดังนั้น เราจึงวิเคราะห์ได้ ประเทศไทยมีความผิดพลาด แม้จะรู้ว่าเรามีความผิดพลาด เราก็ต้องทบทวนใน
ความผิดพลาดนั้น ค้นให้พบว่ามีรากเหง้ามาจากคณะราษฎร์จริงหรือไม่ ค้นต่อไปว่าการที่คณะราษฎร์ได้อำนาจ
มาจากพระเจ้าแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ คณะราษฎร์รับเอามาแต่พระราช
อำนาจทางอาณาจักร โดยไม่ได้รับเอาความผิดชอบต่อศาสนจักรมาปฏิบัติ เป็นความจริงหรือไม่
อีกท่อนหนึ่ง ที่สำคัญมากได้แก่ คณะราษฎร์ได้ทอดทิ้งพระพุทธศาสนา จนกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้นักการ
เมืองรุ่นหลัง รวมทั้งข้าราชการทั้งหลาย ก็พลอยทอดทิ้งพระพุทธศาสนาตามไปด้วย จริงหรือไม่
วิเคราะห์อีกทีว่า หนังสือกระเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ เล่มนี้ มีมูลความจริงหรือไม่
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ประเทศไทยจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างรีบด่วนและทรงพลัง เพราะไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้ว
สรุปแนวทางแก้ปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ๕ ประการ
๑. จะต้อง "ผ่าตัด" จัดตั้งหลักการกันใหม่ วาดภาพกว้างทั่วประเทศวิธีการจัดหลักการใหม่ คือต้องรื้อโครง
สร้างที่ไม่ดี แล้วสร้างใหม่ขึ้น ให้เป็นโครงสร้าง (Perspective) ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชาติทั้ง
ระบบ เพื่อความมั่นคงทียั่งยืนถาวร ป้องกันไม่ให้ขนเผ่าใดไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนไทย โครงสร้างใหม่ จะ
ต้องทำให้เกิดมิติใหม่ ทำให้คนไทยทุกชนเผ่า มีความเต็มใจที่จะเป็นคนไทยด้วยความเต็มใจ และมีความ
เลื่อมใสศรัทธาในประเทศไทย
วิธีการที่จะได้มา กล่าวคือให้คณะนักวิชาการ สร้างคู่มือขึ้นมาให้กับนักการเมืองและข้าราชการ และประชาชน
ทั้งหลาย ให้มีความรู้ในเนื้อหาของโครงสร้างใหม่ แล้วส่งเสริมให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เป็นการสร้าง
จารีตประเพณีให้แก่คนไทย เมื่อเกิดเป็นไทย ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติไหนมาก่อนก็ตาม จะต้องเป็นคนไทยทั้งกาย
และใจ หล่อหลอมให้เป็นคนไทยตั้งแต่เกิด เมื่อเกิดมาแล้วห้ามไม่ให้ผู้ใดปลุกปั่นยุยง ขัดขวางการเป็นคนไทย
จัดสร้างหลักสูตร สอนคนไทยให้เข้าใจชาติของตนเองว่า มีกี่ชนเผ่ารวมกันขึ้นเป็นคนไทย แล้วสอนให้รู้ว่า
ประเทศไทยมีกี่ศาสนา คนไทยทุกคนมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองศาสนาที่ตนรักและเคารพ ด้วยการปฏิบัติตามคำสอน
ของศาสนาให้ดีงาม คนไทยทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็ตาม ต้องยกย่องคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ ห้ามมิให้
ชนเผ่าใดอ้างตนเป็นอิสระ ประเทศไทยจะต้องจัดการให้คนไทยทุกเผ่า ไมให้เบียดเบียนกัน แรกเริ่มจะยุ่งยาก
เพราะเราได้ปล่อยปละละเลยมาเนิ่นนาน เมื่อวันเวลาผ่านไปไม่เกิน ๑๐ ปี ความรู้สึกคนไทยจะดีขึ้น
ประเทศไทยต้องแสดงเอกลักษณ์เทียบมาตรฐานการเป็นชนเผ่าต่างๆในโลก
ชนชาติไหนได้สวัสดิการดีที่สุด ชนชาติไหนได้มาตรฐานดีที่สุด
ถ้าชนชาติอื่นมาอยู่ประเทศไทย แล้วต่อสู้กับประเทศไทย ต้องเนรเทศออกไป
๒. จัดตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่กระทรวงหนึ่ง เรียกว่า กระทรวงความมั่นคงภายใน
วิธีการได้แก่ให้กระทรวงนี้บริหารความแตกต่างทางความคิด ความแตกต่างในเชื้อชาติ และความแตกต่างใน
ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐมนตรีและข้าราชการของกระทรวงนี้ ทำหน้าที่แก้ไขเพื่อการปูรากฐานไปสู่ “ความ
เป็นคนไทย” ที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แล้ววางแผนสร้างคน
ไทยรุ่นต่อไปให้ยอมรับหรือกลายพันธุ์เป็นคนไทยโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้จิตวิทยาใดเอามาเป็นเครื่องจูง
ใจอีกต่อไป
๓. ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
วิธีการแก้ปัญหานี้ ถือว่าเป็นทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเป็นปัญหาระยะยาวของประเไทย เราถูกโจรแบ่งแยกดิน
แดนปลุกปั่นประชาชนเชื้อสายมลายูไม่ให้ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนไทย เป็นปัญหาร้ายแรง ยากที่จะแก้ไขให้จบ
ลงได้โดยง่ายนั้น ถือว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงในระบอบการปกครองของไทย เราจะแก้โดยวิธี “โอนอ่อนผ่อน
ตาม” ต่อไปไม่ได้ หรือจะใช้ระบบเจรจาหย่าศึกก็ไม่ได้ เพราะบทสรุปปรากฎชัดออกมาแล้วว่า โจรปัตตานี
ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่น พวกเขามีเป้าหมายต้องการแบ่งแยกดินแดนสถานเดียวเท่านั้น
ดังนั้น ทางแก้คือ กองทัพต้องเข้าไปจัดการ รัฐบาลจะต้องเอาความเข้มแข็งของกองทัพเข้าไปจัดการขั้นเด็ด
ขาด เอาโจรให้อยู่ อย่าให้โจรมีกำลังเคลื่อนไหวได้ ต้องกดดันโจรให้หยุดการกระทำ รัฐบาลต้องประกาศให้
รู้ว่าเรารู้วัตถุประสงค์อันแท้จริงของกลุ่มผู้ไม่หวังดีแล้ว เราจะปล่อยต่อไปไม่ได้
กองทัพเรือจัดตั้งฐานทัพลอยน้ำ หรือบนเกาะ-เกาะใดเกาะหนึ่ง ตรงข้ามจังหวัดปัตตานี
กองทัพอากาศ สร้างกองบินน้อยที่จังหวัดนราธิวาส
กองทัพบก สร้างค่ายทหารถาวร ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ตั้งกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น เช่นเดียวกับจังหวัดทางภาคเหนือ
จัดตั้งกองกำลังเสือพรานขึ้นทันที
บูรณะซ่อมแซมพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ให้โอ่อ่าใหญ่โตขึ้น ส่วนไหนที่โจรปัตตานีเข้าไปทำลาย ให้รักษาเป็น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ตั้งนิคมพัฒนาตนเองให้ประชาชนนอกพื้นที่เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทำการเกษตร
ตั้งนิคมสร้างตนเองให้ครอบครัวทหารและทหารผ่านศึก
ประกาศให้ประชาชนรับรู้ความจริง แยกประชาชนออกจากโจรให้ได้
มอบหมายให้ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ทุกคนได้รับทราบ แล้วรับลง
ทะเบียนราษฎรที่ยอมรับหลักการใหม่ ให้สามารถรับตัวเลขได้ชัดว่า มีคนที่แยกตัวออกมาจากโจรมากน้อยเพียงใด
รัฐบาลกับศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย จัดการประชุมและอบรมหลักสูตรสมานฉันท์ ให้สามารถปฏิบัติให้
เกิดเป็นจริงที่ยั่งยืน
ส่งเสริมให้คนไทยเลิกนำเอาศาสนามาเป็นข้อขัดแย้ง
ส่งเสริมให้ทุกคนยอมรับในิสิทธิเสรีภาพที่ทัดเทียมกัน ไม่ให้ผู้ใดเอาเปรียบคนอื่น ไม่ให้ฆ่าคนอื่น ไม่ให้เบียด
เบียนศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม
เรียกร้องต่อสังคมไทยทั้งสังคมให้ตระหนักถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประกาศประณามกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ที่ขัดขวางคนอื่นไม่ให้เป็นคนไทย
แล้วสร้างสังคมใหม่ (Creator sociality free of war) ให้เป็นสังคมที่ปราศจากการข่มขู่คุกคามไม่ให้
มีคนมาป่วนได้
๔. ปัญหารัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญของประเทศไทย มีปัญหาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากคนร่างกับคนที่จะได้อำนาจเป็นคน
เดียวกันหรือเป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยไม่สมประกอบ พิกลพิการ มีความสมบูรณ์ท่อน
หนึ่งแต่อีกท่อนหนึ่งไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะได้แก่รัฐธรรมนูญไม่สามารถยับยั้งคนในชาติเอารัดเอาเปรียบกันได้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับ คนที่เป็นคนไทยโดยแท้กลายเป็นผู้ถูกเอาเปรียบ
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ชาวนาถูกฟ้องร้องยึดที่ดินได้ง่ายดาย
ชาวนาไทยกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน
ในรัฐธรรมนูญก็กำหนดคุณสมบัติปริญญาตรี ซึ่งลูกหลานชาวนาหมดสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมทางการเมือง ทำให้สังคม
ไทย “เห็นคนรวย” และเห็น “คนชาติอื่น” ที่เจริญกว่าเป็นที่พึ่ง จึงแห่ไปขายเสียงให้แก่พวกเขาเหล่านั้น
ดังนั้น จึงต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้าอย่างดีที่สุด
เนื้อหาสาระ ประกอบด้วย ความมั่นคงของสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
วิธีการสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อความมั่นคง
ต้องมีหมวดว่าด้วย “ศาสนา” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ จะได้เป็นการประกาศอย่างเปิดเผยให้สมกับความยิ่งใหญ่
ของศาสนา
บรรจุหลักการของศาสนาทุกศาสนา คือศูนย์รวมแห่งการสร้างคุณงามความดี ส่งเสริมเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า
ศาสนาคือศูนย์รวมแห่งความสมานฉันท์ที่ยั่งยืนตลอดกาล
ต้องมีหมวดว่าด้วย “ชนเผ่า” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าชนเผ่าเหล่านี้รวมตัวกันเข้าเป็นคนไทย ประกาศ
อาณาเขตของประเทศไทย จำนวนตารางกิโลเมตรหรือตารางไมล์ จำนวนประชากรของชนเผ่าเอาไว้ในปี
พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วยกรัฐธรรมนูญฉบับนี้มองแด่ประชาชนทั้งชาติรับเอาไปยึดถือเป็นกฎหมายสูงสุดต่อไป
๕. จัดงานฉลองความเป็นคนไทย
เมื่อสามารถจัดการกับโจรปัตตานีได้สำเร็จ สามารถทำให้ประชาชนยอมรับการเป็นคนไทยได้เมื่อใด เมื่อนั้น
ให้จัดงานฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงให้ทุกคนได้รับความอบอุ่น ความสมหวัง แสดงนิทรรศการทุกรูปแบบว่า
โครงสร้างการพัฒนาภาคใต้ทั้งภาค จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
ทำให้สังคมได้เห็นและได้รับรู้ว่าสถานะข้างหน้า เช่น สถานศาสนาอิสลาม พระพุทธศาสนา ระบบการศึกษา
มหาวิทยาลัย การแพทย์ การกีฬา โรงงานอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือน้ำลึก การขนส่งทางทะเล
ทางบก ทางอากาศ และรูปร่างความเจริญอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับลัทธิประเพณีของท้องถิ่น
ต่อจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรี หรือปลัดกระทรวง/คณะติดตามผลภายใต้การควบคุมของกระทรวงรักษา
ความมั่นคงภายใน อย่าให้ตกหล่นไปจากหลักการ
เมื่อรู้ว่าแผ่นดินอันเป็นที่รักจะถูกยื้อแย่งเอาไปไม่ว่าน้อยหรือมาก จิตที่หวงแหนย่อมจะเกิดวิตกกังวลไปต่างๆ
นานา เกรงว่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
ดังนั้น จึงเห็นว่าเมื่อได้เขียนเล่าเรื่องพอประเทืองปัญญา ให้แก่ท่านผู้อ่านได้ร่วมรับรู้เอาไว้ว่าไฟใต้ ใครบงการ ?
ผมจึงอยากนำเสนอความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้
สรุป หรือ "ย่อ" ความผิดพลาด ๕ ประการของฝ่ายรัฐบาล
๑. คณะผู้บริหารประเทศทุกระดับ ทุกกลุ่มไม่เข้าใจทฤษฏีของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง นั้นก็คือ "คนดี - ทำชั่ว
ได้ยาก ทำดีได้ง่าย ในมุมมองตรงกันข้าม คนชั่ว - ทำดีได้ยาก ทำชั่วได้ง่าย" ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ขององค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้ประเทศของเราตกเป็นเหยื่อของโจรชั่วที่ก่อกรรมทำบาป เพราะคนชั่วย่อมทำ
ชั่วได้ง่าย พวกเขาไม่ยอมทำความดี ไม่เลิกฆ่า
ประกอบกับคนที่ทางการส่งมาและให้ไปแก้ปัญหาที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้ตระหนักถึงพิษสงร้ายกาจ
อันจะเกิดจากพวกคนชั่ว หลงเชื่อว่าแนวทางของรัฐบาล จะแก้ปัญหาได้ เมื่อนำแนวคิดของรัฐบาลเอาไปปฏิบัติ
แทนที่จะเกิดผลดี กลับตกอยู่ภายใต้เล่ห์เหลี่ยมของโจร และร้ายแรงจนพากันไปติดกับโจร
๒. ความผิดพลาดอีกประการหนึ่งเกิดจาก "คำเท็จ" ที่โจรปัตตานีประกาศเสมอว่า ข้าราชการข่มเหงรังแก
คนพุทธเบียดเบียนอิสลาม รัฐบาลทุกรัฐบาลพากันออกมาแก้สถานการณ์นี้ ด้วยการประกาศว่า "ต่อไปจะดูแล
อย่างใกล้ชิด ไม่ให้ข้าราชการชั่วๆ มาข่มเหงรังแก" เมื่อรัฐบาลประกาศออกมาเช่นนี้ สื่อก็พากันเอามาเสนอ
เป็นข่าวต่อ แล้วเผยแพร่ไปทั่วประเทศ เป็นผลทำให้ "คำเท็จ" ที่โจรสร้างขึ้นมากลายเป็นความจริง ทั้งๆที่ไม่จริง
เพราะความจริงนั้น พวกโจรปัตตานีเป็นฝ่ายข่มเหงรังแกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ
พุทธไม่ได้เบียดเบียนอิสสาม ไม่ว่ากรณีใดๆ
๓.สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมานาน โจรปัตตานีขัดขวางพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูไม่ให้ยอมรับการเป็นคนไทย ห้ามไม่
ให้เรียนภาษาไทย ห้ามพูดไทย ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามแต่งงานกับคนไทยพุทธ ห้ามไม่ให้เคารพนับถือ
สถาบันของชาติ ห้ามทุกสิ่งทุกอย่าง และแสดงออกมาอย่างเปิดเผย
ต่อมาผู้นำของประเทศเห็นดีงามกับการให้ถือสองสัญชาติได้อย่างอิสระ ประเทศไทยทำตามคำขอร้องของผู้นำ
มาเลเซีย ตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ถูกต้มตุ๋นให้เสียท่ายากที่จะเอาคืน ไทยแก้ปัญหาด้วยการใช้เงิน "ซื้อใจ"
ใช้ประโยชน์เอามาปรนเปรอ หมายจะโน้มน้าวจิตใจไม่ให้เกลียดชังประเทศไทย โดยไม่ได้ติดตามดูความเป็น
จริง ว่าสิ่งที่ทำไปได้ผลหรือไม่ เป็นความผิดพลาดเชิงนโยบาย ที่กัดกร่อนกินเนื้อตัวเองมาเนิ่นนาน
๔. โจรปัตตานีใช้หลักการศาสนาอิสลาม เอามาเป็น"ทฤษฏีชี้นำ" (element) มีการต่อรองในทุกระดับ โจร
ปัตตานีใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ข่มขู่แล้วขอ ขอแล้วข่มขู่ สลับกันไปอย่างมีระบบ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลตกเป็นเบี้ย
ล่าง อ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำให้ฝ่ายโจรปัตตานีได้โอกาสบั่นทอนความมั่นคงของพระพุทธศาสนา
ฝ่ายรัฐบาลเอง ถูกวิธีการของโจรคุกคามเอา จนเกิดความรู้สึกผิดพลาดต่อพระพุทธศาสนาของตน เกิดความรู้
สึกว่า ถ้าเข้าข้างชาวพุทธมาก จะถูกโจมตีว่าลำเอียง จนสุดท้าย โจรฆ่าพระอย่างป่าเถื่อน เยาะเย้ย ฝ่าย
รัฐบาลคงเรียกร้องให้สมานฉันท์ อันเป็นการยอมแพ้โดยปริยาย
๕. ในคณะรัฐบาลและหน่วยราชการ ทำเนียบรัฐบาล หรือ รัฐสภา หรือสภาท้องถิ่น รวมทั้งสื่อบางฉบับ เป็น
แนวร่วมของโจร เป็นไส้ศึก หรือมีหัวหน้าโจรปะปนอยู่ด้วย ตั้งแต่ระดับสูง ลงมาจนถึงระดับล่าง โจรจึงมี
ประสิทธิภาพในการวางแผนก่อวินาศกรรม ออกคำสั่งทับซ้อนจนก่อให้เกิดความผิดพลาด ก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง
เกิดความสับสน ขลุกขลักน่าตำหนิ
สรุป หรือ "ย่อ" ความต้องการของโจรปัตตานีมี ๒ ประการ
๑. โจรปัตตานีเดินหน้าต่อสู้ "แบ่งแยกดินแดน" ทั้งในและนอกประเทศ
ได้วางเครือข่ายเอาไว้อย่างครบถ้วน และได้สร้างองคาพยพให้มีความพร้อมในหลายระดับ ที่จะจัดการให้เกิด
การเปลี่ยนแปลง โจรปัตตานีตั้งเป้า หมายเอาไว้ประการเดียว คือ การแบ่งแยกดินแดน แยกปัตตานี ยะลา
นราธิวาส ออกมาเป็นเอกราช ตั้งเป็นประเทศใหม่ขึ้นในโลก
วิธีการแบ่งแยกดินแดน จะใช้แนวหน้าเฉพาะผู้คนในพื้นที่ ๓ จังหวัด ลดจากเดิมที่เคยประกาศว่า ๔ หรือ ๕
จังหวัด เพื่อจะได้ทำให้การต่อสู้มีอำนาจรุนแรง (Violation) อย่างแท้จริง
๒. โจรปัตตานี มีวัตถุประสงค์ที่จะขยายอำนาจของอิสลามให้ขยับเข้าไปเกาะกุมพี้นที่ในทุก ส่วนของ
ประเทศไทย จึงจัดหาทุน ส่งเสริม"มุสลิม" ให้เคลื่อนย้ายครอบครัวไปอยู่ในทุกจังหวัดเอาไว้ให้ได้ แล้วจะ
ขยายไปสู่อำเภอ ลงไปสู่ตำบลและหมู่บ้าน แล้วออกมาตรการ ที่ไหนมีอิสลาม ที่นั่นจะมีสุเหร่า หรือ มัสยิด มีน
โยบายที่จะยึดหัวหาด สร้างอาณาจักรไทยให้เป็นรัฐมุสลิมให้ได้ภายใน ๑๐๐ ปีข้างหน้า หรือว่าถ้าเป็นไปไม่ได้
ก็จะต้องได้อำนาจมากกว่าครึ่ง ได้เกาะกุมระบบของประเทศ จนสามารถสร้างรัฐอิสลามในประเทศไทยได้ในที่สุด
ดังนั้นถ้าจะให้โจรสมานฉันท์ โจรต้องได้ในสิ่งที่เขาต่อสู้ถ้าจะให้โจรรับคำขอโทษ เขาจะต้องได้สิ่งที่เขาต้อง
การตอบแทนก่อนเท่านั้นและถ้าจะให้โจรเลิกการต่อสู้ เขามีคำถามอยู่แล้ว เขาได้อะไรประเทศไทยหมด
โอกาสที่จะเจรจาสงบศึก หรือว่า แม้ว่าเขาจะยอมสงบศึก...นั้นเป็นยุทธการที่ถูกวางเอาไว้ เพื่อชัยชนะใน
วันข้างหน้า
วิเคราะห์ข้อสรุป
ดังนั้น เราจึงวิเคราะห์ได้ ประเทศไทยมีความผิดพลาด แม้จะรู้ว่าเรามีความผิดพลาด เราก็ต้องทบทวนใน
ความผิดพลาดนั้น ค้นให้พบว่ามีรากเหง้ามาจากคณะราษฎร์จริงหรือไม่ ค้นต่อไปว่าการที่คณะราษฎร์ได้อำนาจ
มาจากพระเจ้าแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ คณะราษฎร์รับเอามาแต่พระราช
อำนาจทางอาณาจักร โดยไม่ได้รับเอาความผิดชอบต่อศาสนจักรมาปฏิบัติ เป็นความจริงหรือไม่
อีกท่อนหนึ่ง ที่สำคัญมากได้แก่ คณะราษฎร์ได้ทอดทิ้งพระพุทธศาสนา จนกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้นักการ
เมืองรุ่นหลัง รวมทั้งข้าราชการทั้งหลาย ก็พลอยทอดทิ้งพระพุทธศาสนาตามไปด้วย จริงหรือไม่
วิเคราะห์อีกทีว่า หนังสือกระเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ เล่มนี้ มีมูลความจริงหรือไม่
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ประเทศไทยจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างรีบด่วนและทรงพลัง เพราะไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้ว
สรุปแนวทางแก้ปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ๕ ประการ
๑. จะต้อง "ผ่าตัด" จัดตั้งหลักการกันใหม่ วาดภาพกว้างทั่วประเทศวิธีการจัดหลักการใหม่ คือต้องรื้อโครง
สร้างที่ไม่ดี แล้วสร้างใหม่ขึ้น ให้เป็นโครงสร้าง (Perspective) ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชาติทั้ง
ระบบ เพื่อความมั่นคงทียั่งยืนถาวร ป้องกันไม่ให้ขนเผ่าใดไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนไทย โครงสร้างใหม่ จะ
ต้องทำให้เกิดมิติใหม่ ทำให้คนไทยทุกชนเผ่า มีความเต็มใจที่จะเป็นคนไทยด้วยความเต็มใจ และมีความ
เลื่อมใสศรัทธาในประเทศไทย
วิธีการที่จะได้มา กล่าวคือให้คณะนักวิชาการ สร้างคู่มือขึ้นมาให้กับนักการเมืองและข้าราชการ และประชาชน
ทั้งหลาย ให้มีความรู้ในเนื้อหาของโครงสร้างใหม่ แล้วส่งเสริมให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เป็นการสร้าง
จารีตประเพณีให้แก่คนไทย เมื่อเกิดเป็นไทย ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติไหนมาก่อนก็ตาม จะต้องเป็นคนไทยทั้งกาย
และใจ หล่อหลอมให้เป็นคนไทยตั้งแต่เกิด เมื่อเกิดมาแล้วห้ามไม่ให้ผู้ใดปลุกปั่นยุยง ขัดขวางการเป็นคนไทย
จัดสร้างหลักสูตร สอนคนไทยให้เข้าใจชาติของตนเองว่า มีกี่ชนเผ่ารวมกันขึ้นเป็นคนไทย แล้วสอนให้รู้ว่า
ประเทศไทยมีกี่ศาสนา คนไทยทุกคนมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองศาสนาที่ตนรักและเคารพ ด้วยการปฏิบัติตามคำสอน
ของศาสนาให้ดีงาม คนไทยทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็ตาม ต้องยกย่องคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ ห้ามมิให้
ชนเผ่าใดอ้างตนเป็นอิสระ ประเทศไทยจะต้องจัดการให้คนไทยทุกเผ่า ไมให้เบียดเบียนกัน แรกเริ่มจะยุ่งยาก
เพราะเราได้ปล่อยปละละเลยมาเนิ่นนาน เมื่อวันเวลาผ่านไปไม่เกิน ๑๐ ปี ความรู้สึกคนไทยจะดีขึ้น
ประเทศไทยต้องแสดงเอกลักษณ์เทียบมาตรฐานการเป็นชนเผ่าต่างๆในโลก
ชนชาติไหนได้สวัสดิการดีที่สุด ชนชาติไหนได้มาตรฐานดีที่สุด
ถ้าชนชาติอื่นมาอยู่ประเทศไทย แล้วต่อสู้กับประเทศไทย ต้องเนรเทศออกไป
๒. จัดตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่กระทรวงหนึ่ง เรียกว่า กระทรวงความมั่นคงภายใน
วิธีการได้แก่ให้กระทรวงนี้บริหารความแตกต่างทางความคิด ความแตกต่างในเชื้อชาติ และความแตกต่างใน
ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐมนตรีและข้าราชการของกระทรวงนี้ ทำหน้าที่แก้ไขเพื่อการปูรากฐานไปสู่ “ความ
เป็นคนไทย” ที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แล้ววางแผนสร้างคน
ไทยรุ่นต่อไปให้ยอมรับหรือกลายพันธุ์เป็นคนไทยโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้จิตวิทยาใดเอามาเป็นเครื่องจูง
ใจอีกต่อไป
๓. ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
วิธีการแก้ปัญหานี้ ถือว่าเป็นทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเป็นปัญหาระยะยาวของประเไทย เราถูกโจรแบ่งแยกดิน
แดนปลุกปั่นประชาชนเชื้อสายมลายูไม่ให้ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนไทย เป็นปัญหาร้ายแรง ยากที่จะแก้ไขให้จบ
ลงได้โดยง่ายนั้น ถือว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงในระบอบการปกครองของไทย เราจะแก้โดยวิธี “โอนอ่อนผ่อน
ตาม” ต่อไปไม่ได้ หรือจะใช้ระบบเจรจาหย่าศึกก็ไม่ได้ เพราะบทสรุปปรากฎชัดออกมาแล้วว่า โจรปัตตานี
ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่น พวกเขามีเป้าหมายต้องการแบ่งแยกดินแดนสถานเดียวเท่านั้น
ดังนั้น ทางแก้คือ กองทัพต้องเข้าไปจัดการ รัฐบาลจะต้องเอาความเข้มแข็งของกองทัพเข้าไปจัดการขั้นเด็ด
ขาด เอาโจรให้อยู่ อย่าให้โจรมีกำลังเคลื่อนไหวได้ ต้องกดดันโจรให้หยุดการกระทำ รัฐบาลต้องประกาศให้
รู้ว่าเรารู้วัตถุประสงค์อันแท้จริงของกลุ่มผู้ไม่หวังดีแล้ว เราจะปล่อยต่อไปไม่ได้
กองทัพเรือจัดตั้งฐานทัพลอยน้ำ หรือบนเกาะ-เกาะใดเกาะหนึ่ง ตรงข้ามจังหวัดปัตตานี
กองทัพอากาศ สร้างกองบินน้อยที่จังหวัดนราธิวาส
กองทัพบก สร้างค่ายทหารถาวร ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ตั้งกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น เช่นเดียวกับจังหวัดทางภาคเหนือ
จัดตั้งกองกำลังเสือพรานขึ้นทันที
บูรณะซ่อมแซมพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ให้โอ่อ่าใหญ่โตขึ้น ส่วนไหนที่โจรปัตตานีเข้าไปทำลาย ให้รักษาเป็น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ตั้งนิคมพัฒนาตนเองให้ประชาชนนอกพื้นที่เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทำการเกษตร
ตั้งนิคมสร้างตนเองให้ครอบครัวทหารและทหารผ่านศึก
ประกาศให้ประชาชนรับรู้ความจริง แยกประชาชนออกจากโจรให้ได้
มอบหมายให้ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ทุกคนได้รับทราบ แล้วรับลง
ทะเบียนราษฎรที่ยอมรับหลักการใหม่ ให้สามารถรับตัวเลขได้ชัดว่า มีคนที่แยกตัวออกมาจากโจรมากน้อยเพียงใด
รัฐบาลกับศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย จัดการประชุมและอบรมหลักสูตรสมานฉันท์ ให้สามารถปฏิบัติให้
เกิดเป็นจริงที่ยั่งยืน
ส่งเสริมให้คนไทยเลิกนำเอาศาสนามาเป็นข้อขัดแย้ง
ส่งเสริมให้ทุกคนยอมรับในิสิทธิเสรีภาพที่ทัดเทียมกัน ไม่ให้ผู้ใดเอาเปรียบคนอื่น ไม่ให้ฆ่าคนอื่น ไม่ให้เบียด
เบียนศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม
เรียกร้องต่อสังคมไทยทั้งสังคมให้ตระหนักถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประกาศประณามกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ที่ขัดขวางคนอื่นไม่ให้เป็นคนไทย
แล้วสร้างสังคมใหม่ (Creator sociality free of war) ให้เป็นสังคมที่ปราศจากการข่มขู่คุกคามไม่ให้
มีคนมาป่วนได้
๔. ปัญหารัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญของประเทศไทย มีปัญหาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากคนร่างกับคนที่จะได้อำนาจเป็นคน
เดียวกันหรือเป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยไม่สมประกอบ พิกลพิการ มีความสมบูรณ์ท่อน
หนึ่งแต่อีกท่อนหนึ่งไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะได้แก่รัฐธรรมนูญไม่สามารถยับยั้งคนในชาติเอารัดเอาเปรียบกันได้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับ คนที่เป็นคนไทยโดยแท้กลายเป็นผู้ถูกเอาเปรียบ
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ชาวนาถูกฟ้องร้องยึดที่ดินได้ง่ายดาย
ชาวนาไทยกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน
ในรัฐธรรมนูญก็กำหนดคุณสมบัติปริญญาตรี ซึ่งลูกหลานชาวนาหมดสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมทางการเมือง ทำให้สังคม
ไทย “เห็นคนรวย” และเห็น “คนชาติอื่น” ที่เจริญกว่าเป็นที่พึ่ง จึงแห่ไปขายเสียงให้แก่พวกเขาเหล่านั้น
ดังนั้น จึงต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้าอย่างดีที่สุด
เนื้อหาสาระ ประกอบด้วย ความมั่นคงของสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
วิธีการสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อความมั่นคง
ต้องมีหมวดว่าด้วย “ศาสนา” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ จะได้เป็นการประกาศอย่างเปิดเผยให้สมกับความยิ่งใหญ่
ของศาสนา
บรรจุหลักการของศาสนาทุกศาสนา คือศูนย์รวมแห่งการสร้างคุณงามความดี ส่งเสริมเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า
ศาสนาคือศูนย์รวมแห่งความสมานฉันท์ที่ยั่งยืนตลอดกาล
ต้องมีหมวดว่าด้วย “ชนเผ่า” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าชนเผ่าเหล่านี้รวมตัวกันเข้าเป็นคนไทย ประกาศ
อาณาเขตของประเทศไทย จำนวนตารางกิโลเมตรหรือตารางไมล์ จำนวนประชากรของชนเผ่าเอาไว้ในปี
พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วยกรัฐธรรมนูญฉบับนี้มองแด่ประชาชนทั้งชาติรับเอาไปยึดถือเป็นกฎหมายสูงสุดต่อไป
๕. จัดงานฉลองความเป็นคนไทย
เมื่อสามารถจัดการกับโจรปัตตานีได้สำเร็จ สามารถทำให้ประชาชนยอมรับการเป็นคนไทยได้เมื่อใด เมื่อนั้น
ให้จัดงานฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงให้ทุกคนได้รับความอบอุ่น ความสมหวัง แสดงนิทรรศการทุกรูปแบบว่า
โครงสร้างการพัฒนาภาคใต้ทั้งภาค จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
ทำให้สังคมได้เห็นและได้รับรู้ว่าสถานะข้างหน้า เช่น สถานศาสนาอิสลาม พระพุทธศาสนา ระบบการศึกษา
มหาวิทยาลัย การแพทย์ การกีฬา โรงงานอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือน้ำลึก การขนส่งทางทะเล
ทางบก ทางอากาศ และรูปร่างความเจริญอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับลัทธิประเพณีของท้องถิ่น
ต่อจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรี หรือปลัดกระทรวง/คณะติดตามผลภายใต้การควบคุมของกระทรวงรักษา
ความมั่นคงภายใน อย่าให้ตกหล่นไปจากหลักการ
บทที่ ๒๓ อุ้มฆ่าทนาย...สมชาย นีละไพจิตร
เชิญติดตามเรื่องต่อไป......
ในวงการต่อสู้ผู้สืบทอดอุดมการณ์มาจาก "อับดุลกาเดร์" หรือพระยาวิชิตภักดีมีมากมายหลายคนที่เอาตัวเข้ารับ
ใช้อย่างไม่หวั่นไหวว่าตัวเอง จะได้รับความลำบากหรือความทุกข์ทรมาณ เช่น โต๊ะแต, หะยีบูละ, ตวนกูอับ
ดุลยะลา หรือ "นายอดุลย์ ณ สายบุรี" เป็นต้น
เมื่อเอ่ยถึงบุคคลเหล่านี้ ผู้คนในหมู่ของโจรปัตตานีจะมีความดื่มด่ำเลื่อมใสศรัทธา พากันยกเอาไว้เป็นที่เคารพ
นับถือไม่มีวันลืม เช่นเดียวกัน เมื่อเอ่ยถึง "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" โจรปัตตานี ยิ่งจะเกิดอาการขนพอง
สยองเกล้า เพราะชีวิตการต่อสู้ของ
หะยีสุหลง เป็นไปอย่างเปิดเผยและท้าทาย ดังจะเห็นได้ เขาถูกจับกุมส่งขึ้นฟ้องศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
เขากล้าเผชิญ
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ติดคุกก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ของนักต่อสู้ที่น่ายกย่องอยู่แล้ว
เมื่อเขาถูกหลอกให้มาพบตำรวจเมืองสงขลา แล้วถูกอุ้มเอาไปถ่วงน้ำที่เกาะหนูเกาะแมว
นั่นแหละ ยิ่งได้เพิ่มดีกรีความยิ่งใหญ่ให้แก่เขาสุดเหลือประมาณ ในโอกาสเดียวกัน ใครก็ตามถ้าได้ใช้อัตตะ
ประวัติของเขาไปเป็นบทเรียนทั้งในป่า และในสถาบันการศึกษา จะสามารถอาบใจของนักศึกษาให้ตกเป็นทาส
ทางความคิดได้โดยไม่ยาก
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ เป็นบิดาในยุคสงครามโลกครั้งที่สองของชาวปัตตานี ยากที่จะหาใครมาเทียบได้
หะยีสุหลงนามนี้เกริกก้องในหมู่เยาวชนกระทั่งบัดนี้
ในทำนองเดียวกัน...ทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกอุ้มเอาไปไหนไม่รู้ จนป่านนี้ยังไม่สามารถค้นหาร่างของ
เขาพบ ทำให้คดีของเขากลายเป็นคดีมืดมนเกินกว่าจะบอกได้ว่า จะจบลงได้อย่างไร ยิ่งค้นหามากเท่าใด ยิ่ง
เป็นการเพิ่มราคาให้ทนายสมชายมากมายยิ่งขึ้น
สถานะของสมชาย นีละไพจิตรค่อยๆ เปลี่ยนจากบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดน
ขมวดเข้ามาเป็น "ตัวลำแสง" ประกบเข้ากับ
"หะยีสุหลง" และคนอื่นๆ ที่เอาชีวิตเข้าแลกกับการต่อสู้เพื่อจะปลดปล่อยปัตตานี
ตอนนี้...โจรปัตตานี ได้อาศัยเนื้อตัวและชื่อเสียง "ของทนายสมชาย" เป็นเรื่องราวปลุกระดมได้เยี่ยมยอด
เรื่องเดียวกันนี้ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลกลายเป็นจำเลยครั้งแล้วครั้งเล่า ยากนักที่จะชำระล้างให้สะอาดขึ้นมาได้
อับดุลกาเดร์ ตวนกูอับดุลยะลา และ หะยีสุหลง คือยอดวีรบุรุษของพวกเขา
สมชาย นีละไพจิตร ก้าวพรวดเข้ามาเป็นวีรบุรุษอีกคนจึงทำให้องค์กรของโจรปัตตานีเติบใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นทุกที
ฆ่ารายวัน...!! เหิมเกริมเกินไป ?!!!
โจรปัตตานีฆ่ารายวัน ไม่มีวี่แววจะหยุดฆ่าใครก็ห้ามโจรไม่อยู่ขณะที่โจรปัตตานี พากันฆ่ารายวัน.ปากของโจรก็
ตะโกนโหยหวน กล่าวหา ทหาร ตำรวจ เข่นฆ่าทารุณรัฐบาลไม่มีวิธีการยับยั้งโจรพวกสิทธิมนุษยชนของ
ประเทศไทยพากันเงียบ สว. ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ ที่เคยเต้น สว. โสภณ สุภาพงษ์ ที่เคยเต้น...น่าจะเต้นต่อ
เรียกร้องสหประชาชาติให้มาดูของจริง โจรปัตตานี ฆ่าคนพุทธทุกวัน
ผมเอารูปท่าน ผอ.(หญิง) ท่านหนึ่ง ของโรงเรียน กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งที่ถูกโจรฆ่ากลายเป็นศพมา
พิมพ์เอาไว้ให้ดูเพื่อจะรำลึกได้ว่า เกิดเป็นคนไทย เจ้าของแผ่นดินแท้ๆ แต่ถูกโจรปัตตานีขับไล่ ถ้าไม่หนีก็จะฆ่า
แล้วก็ฆ่าจริงๆ
เมื่อโจรปัตตานีกล้าข่มเหงรังแกคนไทยเจ้าของแผ่นดินถึงจุดหนึ่ง ถ้าทหาร ตำรวจเอาไม่อยู่จะกู้ชาติได้ ต้อง
อาศัยวีรกรรมหมู่บ้านบางระจันเป็นต้นแบบ
เพื่อจะปกป้องคุ้มครองปัตตานีให้รอดพ้นจากเงื้อมมือโจรโจรปัตตานี คงเหิมเกริมคิดว่าง่ายเกินไปมันดูง่าย...
เพราะ "คนไทยหมู่บ้านบางระจัน" ยังไม่ตื่นวันไหน...หมู่บ้านบางระจันคืนชีพ...วันนั้น โลกลือไปทั้ง ๓ ภพ
ในวงการต่อสู้ผู้สืบทอดอุดมการณ์มาจาก "อับดุลกาเดร์" หรือพระยาวิชิตภักดีมีมากมายหลายคนที่เอาตัวเข้ารับ
ใช้อย่างไม่หวั่นไหวว่าตัวเอง จะได้รับความลำบากหรือความทุกข์ทรมาณ เช่น โต๊ะแต, หะยีบูละ, ตวนกูอับ
ดุลยะลา หรือ "นายอดุลย์ ณ สายบุรี" เป็นต้น
เมื่อเอ่ยถึงบุคคลเหล่านี้ ผู้คนในหมู่ของโจรปัตตานีจะมีความดื่มด่ำเลื่อมใสศรัทธา พากันยกเอาไว้เป็นที่เคารพ
นับถือไม่มีวันลืม เช่นเดียวกัน เมื่อเอ่ยถึง "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" โจรปัตตานี ยิ่งจะเกิดอาการขนพอง
สยองเกล้า เพราะชีวิตการต่อสู้ของ
หะยีสุหลง เป็นไปอย่างเปิดเผยและท้าทาย ดังจะเห็นได้ เขาถูกจับกุมส่งขึ้นฟ้องศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
เขากล้าเผชิญ
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ติดคุกก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ของนักต่อสู้ที่น่ายกย่องอยู่แล้ว
เมื่อเขาถูกหลอกให้มาพบตำรวจเมืองสงขลา แล้วถูกอุ้มเอาไปถ่วงน้ำที่เกาะหนูเกาะแมว
นั่นแหละ ยิ่งได้เพิ่มดีกรีความยิ่งใหญ่ให้แก่เขาสุดเหลือประมาณ ในโอกาสเดียวกัน ใครก็ตามถ้าได้ใช้อัตตะ
ประวัติของเขาไปเป็นบทเรียนทั้งในป่า และในสถาบันการศึกษา จะสามารถอาบใจของนักศึกษาให้ตกเป็นทาส
ทางความคิดได้โดยไม่ยาก
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ เป็นบิดาในยุคสงครามโลกครั้งที่สองของชาวปัตตานี ยากที่จะหาใครมาเทียบได้
หะยีสุหลงนามนี้เกริกก้องในหมู่เยาวชนกระทั่งบัดนี้
ในทำนองเดียวกัน...ทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกอุ้มเอาไปไหนไม่รู้ จนป่านนี้ยังไม่สามารถค้นหาร่างของ
เขาพบ ทำให้คดีของเขากลายเป็นคดีมืดมนเกินกว่าจะบอกได้ว่า จะจบลงได้อย่างไร ยิ่งค้นหามากเท่าใด ยิ่ง
เป็นการเพิ่มราคาให้ทนายสมชายมากมายยิ่งขึ้น
สถานะของสมชาย นีละไพจิตรค่อยๆ เปลี่ยนจากบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดน
ขมวดเข้ามาเป็น "ตัวลำแสง" ประกบเข้ากับ
"หะยีสุหลง" และคนอื่นๆ ที่เอาชีวิตเข้าแลกกับการต่อสู้เพื่อจะปลดปล่อยปัตตานี
ตอนนี้...โจรปัตตานี ได้อาศัยเนื้อตัวและชื่อเสียง "ของทนายสมชาย" เป็นเรื่องราวปลุกระดมได้เยี่ยมยอด
เรื่องเดียวกันนี้ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลกลายเป็นจำเลยครั้งแล้วครั้งเล่า ยากนักที่จะชำระล้างให้สะอาดขึ้นมาได้
อับดุลกาเดร์ ตวนกูอับดุลยะลา และ หะยีสุหลง คือยอดวีรบุรุษของพวกเขา
สมชาย นีละไพจิตร ก้าวพรวดเข้ามาเป็นวีรบุรุษอีกคนจึงทำให้องค์กรของโจรปัตตานีเติบใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นทุกที
ฆ่ารายวัน...!! เหิมเกริมเกินไป ?!!!
โจรปัตตานีฆ่ารายวัน ไม่มีวี่แววจะหยุดฆ่าใครก็ห้ามโจรไม่อยู่ขณะที่โจรปัตตานี พากันฆ่ารายวัน.ปากของโจรก็
ตะโกนโหยหวน กล่าวหา ทหาร ตำรวจ เข่นฆ่าทารุณรัฐบาลไม่มีวิธีการยับยั้งโจรพวกสิทธิมนุษยชนของ
ประเทศไทยพากันเงียบ สว. ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ ที่เคยเต้น สว. โสภณ สุภาพงษ์ ที่เคยเต้น...น่าจะเต้นต่อ
เรียกร้องสหประชาชาติให้มาดูของจริง โจรปัตตานี ฆ่าคนพุทธทุกวัน
ผมเอารูปท่าน ผอ.(หญิง) ท่านหนึ่ง ของโรงเรียน กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งที่ถูกโจรฆ่ากลายเป็นศพมา
พิมพ์เอาไว้ให้ดูเพื่อจะรำลึกได้ว่า เกิดเป็นคนไทย เจ้าของแผ่นดินแท้ๆ แต่ถูกโจรปัตตานีขับไล่ ถ้าไม่หนีก็จะฆ่า
แล้วก็ฆ่าจริงๆ
เมื่อโจรปัตตานีกล้าข่มเหงรังแกคนไทยเจ้าของแผ่นดินถึงจุดหนึ่ง ถ้าทหาร ตำรวจเอาไม่อยู่จะกู้ชาติได้ ต้อง
อาศัยวีรกรรมหมู่บ้านบางระจันเป็นต้นแบบ
เพื่อจะปกป้องคุ้มครองปัตตานีให้รอดพ้นจากเงื้อมมือโจรโจรปัตตานี คงเหิมเกริมคิดว่าง่ายเกินไปมันดูง่าย...
เพราะ "คนไทยหมู่บ้านบางระจัน" ยังไม่ตื่นวันไหน...หมู่บ้านบางระจันคืนชีพ...วันนั้น โลกลือไปทั้ง ๓ ภพ
บทที่ ๒๒ โฉมหน้าผู้บงการซ่อนอยู่ ในองค์การศาสนา
ในที่สุด...โจรปัตตานีก็ได้รับความสำเร็จ ในการทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าภาพของการต่อสู้ "คือ
องค์กรศาสนาอิสลาม" โดยเฉพาะได้แก่ องค์กรศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก
(เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์การอิสลามในกรุงเทพมหานคร ไม่มีบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้ว่า
ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
วิธีการของโจรปัตตานี จะอ้างอยู่ ๒ ประการ
๑) อ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม กดขี่ข่มเหง
๒) รัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!
โจรปัตตานี ได้อาศัย ๒ ประเด็นนี้ เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ "
ทำร้าย" หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ออกเอกสารกล่าวหา ทำให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้าน
ได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่จริง
โจรปัตตานีสามารถสร้างผู้นำทางศาสนารวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นหัวหน้าในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่ง
กันรับผิดชอบ ออกปฏิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้หัวหน้าแต่ละคนมีความดูดดื่ม เลื่อมใสศรัทธา พอก
พูนอุดมการณ์อย่างถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการเป็นนักรบของพระเจ้า เป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลาม
แล้วก็สร้างให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วย
เหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อย
ปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ
ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด
โจรปัตตานี ได้ใช้วิธีหลายรูปแบบ อบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบ สร้างความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะ
ยินยอมพร้อมใจ มอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดิน
ของพระ เจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
โจรปัตตานีบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของ
มลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตาราง
นิ้วเดียวสิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้าน
บางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯยังไงยังงั้น
เหมือนคนบางกอก - ไม่มีเพี้ยน (ผู้เขียนไปเยี่ยมชมหมู่บ้านเหล่านี้มาหลายครั้ง)
ประเทศไทยตะหากเสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมลายูให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดิน
แดนคืน กลับสูญเสียไปเลยรวมแล้ว ๕ จังหวัด เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น
ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก ประกอบกับนับ
ถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช
เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ถูกโจรปัตตานีแหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ
ตั้งแต่เมือ ๕๐๐ ปี ก่อนถึงปัจจุบัน ยังไม่เลิก
วิธีการที่พวกโจรเอามาใช้อย่างได้ผลนั้น เรื่องคือการ "บิดเบือน" แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเปือนให้น่าเชื่อถือว่า
เป็นเรื่องจริง โจรปัตตานีได้อาศัยสถาบันของศาสนา แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ "องค์อัลเลาะห์" มาเรียก
ร้องความสามัคคีจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกัน
พี่น้องอิสลามผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรอิสลาม ขยายวงกว้างออกไปทุกที
โจรปัตตานีชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำ
ของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย
คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ
รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุด
เลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ/แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการ
สถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก
วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที
"บงการ" กับคนที่จะมาเป็น "สุลต่าน" ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ
แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล
คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ "รบ" เป็นการจำเพาะ
โฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้
สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้
๑. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "อับดุลกาเดร์" ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
๒. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "หะยีสุหลง" ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?
สรุปแล้วมีอยู่ ๒ สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง "อ๋อ" คนนี้เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้น
หาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคน
หนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้
ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์(พ.ศ. ๒๔๔๐) เรื่องราวเมื่อ ๑๐๙ ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ.
๒๔๙๔) เรื่องราวเมื่อ ๕๕ ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ "ผู้บงการ" อยู่หนึ่งเดียวขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว ๕ ล้านบาท)
สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ
" เบอร์ซาตู" ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพใหญ่" ควบคุมทุกขบวนการ
เอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง ๒๓ องค์กร เข้า
มาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า "พูโล" พ่วงท้ายเลย เบอร์ หมายถึง "อับดับที่..."
ซาตู..หมายถึง "หนึ่ง"
ผู้สันทัดกรณีเอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน "
หนึ่งหมื่นล้าน" ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขา
ยังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีต นายกฯ มหาเธร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฏชัดออกมาว่า องค์กรศาสนา
อิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!
โจรปัตตานีเองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานี
สามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม "ปั้นกรอบ" ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย "พลังอิสลาม" เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จ
พร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐ
ปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจุฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้ง
ขึ้นใหม่ในโลก
พวกเขาคิดการไกลขนาดนั้น ผมพยายามที่จะกระเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่าน
อ่านออกได้เองแล้วว่า "คนนั้นกับคนนี้" คือจอมบงการ แม้ว่าโจรปัตตานีจะหาทางให้ ศาสนาอิสลาม เป็นเจ้า
ภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลัง อำนาจ
คน-คนนั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เคยเป็นนักการเมืองใหญ่
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกบฏปัตตานี
แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า ไฟใต้...
ใครบงการ ? เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรปัตตานีพวกนี้ ป้วนเปี้ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่
ไกลจากตัวท่านดอกครับ
นี้คือทีวีวงจรปิด ที่สามารถฉายภาพดูได้...แต่รัฐบาลไม่ยอมฉาย...มันถึงได้มืดยังไงล่ะ
องค์กรศาสนาอิสลาม" โดยเฉพาะได้แก่ องค์กรศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก
(เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์การอิสลามในกรุงเทพมหานคร ไม่มีบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้ว่า
ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
วิธีการของโจรปัตตานี จะอ้างอยู่ ๒ ประการ
๑) อ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม กดขี่ข่มเหง
๒) รัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!
โจรปัตตานี ได้อาศัย ๒ ประเด็นนี้ เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ "
ทำร้าย" หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ออกเอกสารกล่าวหา ทำให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้าน
ได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่จริง
โจรปัตตานีสามารถสร้างผู้นำทางศาสนารวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นหัวหน้าในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่ง
กันรับผิดชอบ ออกปฏิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้หัวหน้าแต่ละคนมีความดูดดื่ม เลื่อมใสศรัทธา พอก
พูนอุดมการณ์อย่างถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการเป็นนักรบของพระเจ้า เป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลาม
แล้วก็สร้างให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วย
เหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อย
ปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ
ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด
โจรปัตตานี ได้ใช้วิธีหลายรูปแบบ อบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบ สร้างความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะ
ยินยอมพร้อมใจ มอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดิน
ของพระ เจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
โจรปัตตานีบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของ
มลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตาราง
นิ้วเดียวสิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้าน
บางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯยังไงยังงั้น
เหมือนคนบางกอก - ไม่มีเพี้ยน (ผู้เขียนไปเยี่ยมชมหมู่บ้านเหล่านี้มาหลายครั้ง)
ประเทศไทยตะหากเสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมลายูให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดิน
แดนคืน กลับสูญเสียไปเลยรวมแล้ว ๕ จังหวัด เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น
ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก ประกอบกับนับ
ถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช
เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ถูกโจรปัตตานีแหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ
ตั้งแต่เมือ ๕๐๐ ปี ก่อนถึงปัจจุบัน ยังไม่เลิก
วิธีการที่พวกโจรเอามาใช้อย่างได้ผลนั้น เรื่องคือการ "บิดเบือน" แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเปือนให้น่าเชื่อถือว่า
เป็นเรื่องจริง โจรปัตตานีได้อาศัยสถาบันของศาสนา แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ "องค์อัลเลาะห์" มาเรียก
ร้องความสามัคคีจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกัน
พี่น้องอิสลามผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรอิสลาม ขยายวงกว้างออกไปทุกที
โจรปัตตานีชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำ
ของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย
คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ
รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุด
เลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ/แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการ
สถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก
วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที
"บงการ" กับคนที่จะมาเป็น "สุลต่าน" ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ
แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล
คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ "รบ" เป็นการจำเพาะ
โฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้
สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้
๑. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "อับดุลกาเดร์" ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
๒. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "หะยีสุหลง" ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?
สรุปแล้วมีอยู่ ๒ สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง "อ๋อ" คนนี้เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้น
หาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคน
หนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้
ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์(พ.ศ. ๒๔๔๐) เรื่องราวเมื่อ ๑๐๙ ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ.
๒๔๙๔) เรื่องราวเมื่อ ๕๕ ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ "ผู้บงการ" อยู่หนึ่งเดียวขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว ๕ ล้านบาท)
สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ
" เบอร์ซาตู" ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพใหญ่" ควบคุมทุกขบวนการ
เอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง ๒๓ องค์กร เข้า
มาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า "พูโล" พ่วงท้ายเลย เบอร์ หมายถึง "อับดับที่..."
ซาตู..หมายถึง "หนึ่ง"
ผู้สันทัดกรณีเอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน "
หนึ่งหมื่นล้าน" ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขา
ยังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีต นายกฯ มหาเธร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฏชัดออกมาว่า องค์กรศาสนา
อิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!
โจรปัตตานีเองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานี
สามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม "ปั้นกรอบ" ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย "พลังอิสลาม" เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จ
พร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐ
ปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจุฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้ง
ขึ้นใหม่ในโลก
พวกเขาคิดการไกลขนาดนั้น ผมพยายามที่จะกระเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่าน
อ่านออกได้เองแล้วว่า "คนนั้นกับคนนี้" คือจอมบงการ แม้ว่าโจรปัตตานีจะหาทางให้ ศาสนาอิสลาม เป็นเจ้า
ภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลัง อำนาจ
คน-คนนั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เคยเป็นนักการเมืองใหญ่
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกบฏปัตตานี
แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า ไฟใต้...
ใครบงการ ? เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรปัตตานีพวกนี้ ป้วนเปี้ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่
ไกลจากตัวท่านดอกครับ
นี้คือทีวีวงจรปิด ที่สามารถฉายภาพดูได้...แต่รัฐบาลไม่ยอมฉาย...มันถึงได้มืดยังไงล่ะ
บทที่ ๒๑ คีย์แมนโทน...แฉวิธีโจรจะยึดเมือง
............ผมโทรไปหา "คีย์แมนโทน" ซึ่งตอนนี้ ได้แยกย้ายกลับบ้านตั้งแต่ โรงแยกแก๊สก่อสร้างแล้ว
เสร็จใหม่ๆ ด้วยเหตุว่าผมยังคงติดต่อกับคีย์แมนโทนเป็นระยะ ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราว ความดุเดือดเลือด
พล่าน ของพวกโจรปัตตานี พอที่จะประมวลได้
ครั้งหลังสุด ผมยกหูโทรเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ผมบอกว่า ผมหางานรับเหมาใหม่ที่อำเภอจะนะ ห่าง
จากที่เดิม ๑๐ กม.ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนี้บริษัทชิโน-ไทย เป็นผู้รับเหมาใหญ่ รับต่อมาจากบริษัทเมรูเบนี
(ญี่ปุ่น) มีบริษัทเล็กๆรับเหมาช่วงอีกหลายบริษัท โครงการนี้เป็นโครงการโรงงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
เขาอยากได้งานทำ จึงรับปากจะรีปไปพบผม
คีย์แมนโทนบอกให้ผมรอพบหน่อย เขาต้องการพบผมเพื่อจะหางานทำ จะไปพบผมที่อำเภอหาดใหญ่ เขาจะมี
เวลาช่วงเช้าตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น แล้วจะรับกลับ
ผมรับปากด้วยความดีใจที่จะได้พบโทน ตั้งใจจะต้องหาคำตอบ และจะต้องหางานให้เขาทำ ไม่เช่นนั้นก็จะทำ
ให้เขาเกิดเข้าใจผิดว่า ผมอยากรู้เรื่องภาคใต้มากเกินไป
แต่ไม่นาน...หลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่...
ถึงเวลานั้น จะไม่มีอะไรปิดบังอีกแล้ว...เขาต้องรู้ "ตัวจริง" ของผมจนได้
ผมนั่งรออยู่ห้องพัก ขณะนั่งรอ ผมได้เขียนต้นฉบับให้ นสพ. บ้านเมือง อีก ๒ ตอน เป็นเรื่อง "ยะลา
วิกฤติ" กับเรื่องประวัติความเป็นมาของโจรปัตตานี แล้วผมก็ส่งให้ "คุณวิเชียร อินจนา" หน.บก.บ้านเมือง
อีกไม่นาน คีย์แมนโทนก็โผล่เข้ามาในห้อง
คีย์แมนโทนถามเรื่องงาน ผมบอกเขาว่า "คุณช้าง" นายช่างคนเดิม ทำงานอยู่โรงไฟฟ้า จะนะ เพิ่งจะ
ลงมือ ถ้าโทนอยากทำงาน จะฝากให้ เขาบอกว่าเขาอยากทำ ผมจึงต่อโทรศัพท์ถึงคุณช้างที่โรงไฟฟ้า ฝาก
งานให้เขาทำได้โดยไม่ยาก
ผมถือโอกาสนั้นสอบถามเรื่องราวโจรปัตตานี เขาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบังเหมือนเช่นเคย โดยได้นำความน่า
กลัวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง...เขาบอกว่าโจรก่อการร้ายได้ส้อง สุมกำลังผู้คนเอาไว้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กำหนด
ดีเดย์ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๙ หรืออย่างช้า ต้นปี ๒๕๕๐
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นหน่วยกล้าตาย จบวิทยายุทธ์มาจากต่างประเทศ ภายใต้การนำของหัวหน้าโจร ใช้ชื่อจัดตั้งว่า
"ดอเยาะ" ดอเยาะรับบัญชามาจากสะแปอิง เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา
คนของดอเยาะส่วนหนึ่ง มาจากอาเจะห์ เป็นนักรบชั้นแนวหน้า
ทั้งสองกองกำลัง มีการเตรียมพร้อมที่จะก่อความไม่สงบขั้นรุนแรง
กลุ่มที่สอง มีหัวหน้าโจรชื่อ "มะแซ อุเซ็ง" ค่าหัว ๕ ล้านบาท มะแซ อุเซ็ง มีอำนาจใหญ่โตมาก ถ้าพวกโจร
ปัตตานีได้รับชัยชนะ มะแซ อุเซ็ง จะได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ. และจะได้เป็นรัฐมนตรีว่า กระทรวงกลาโหม
กลุ่มที่ ๓ มีหัวหน้ามากมายหลายคน รวบรวมกองกำลังหญิงและเด็กเอาไว้ขึ้นยึดที่ทำการของรัฐ เช่น สถานี
ตำรวจ สถานีอนามัย โรงพยาบาล สำนักงาน อบต. ที่ว่าการอำเภอ ศาลากลางจังหวัด ศาล วัด ศาลาประชาคม
มีเป้าหมายจะปิดล้อมค่ายทหาร และตำรวจ บังคับให้ยอมจำนนโจรจะบุกเข้ายึดพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ แล้วจะใช้เป็นที่ประกาศเอกราช....
คีย์แมนโทนบอกต่อไปว่า ถ้าแผนการต่างๆไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ โจรปัตตานีจะใช้วิธีก่อกวนทำความเสีย
หายให้เกิดขึ้นจนทนไม่ไหว การฆ่าตัดคอ เผาดิบ หรือเอามีดเชือดให้เป็นคดีฮือฮา ทำลายความศรัทธาของ
ประชาชนว่า รัฐไม่มีความสามารถทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ จะทำให้เกิดความกดดันในรูป
แบบต่างๆ หนักหน่วงยิ่งขึ้น
มีเรื่องจริงที่โจรทำได้แล้วในวันนี้ (๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ได้แก่การยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ โจรสามารถ
ควบคุมมวลชนได้ครบทุกพื้นที่ พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนพุทธกลายเป็น "ตุ๊กตาไขลาน" เดินกะ
ย่องกะแย่งเหมือนคนตายทั้งเป็น
เรื่องจริงอีกเรื่อง ได้แก่ ไม่มีใครรู้ว่า "หัวหน้าบงการใหญ่" อยู่เบื้องหลังคือใคร
คีย์แมนโทน บอกว่า ฝ่ายราชการเพ่งเล็งไปที่สะแปอิง โรงเรียนธรรมวิทยา ว่าเป็นหัวหน้าโจร
จะว่าสะแปอิงก็ใช่ เพราะว่าผู้ที่จะถูกเปิดตัวให้เป็นผู้นำสูงสุด ในวันประกาศตั้งรัฐปัตตานี ได้แก่ "สะแปอิง"
อย่างแน่นอน สะแปอิง มีฐานะทางสังคมสร้างเอาไว้สูง ฝีก "นักรบ" เอาไว้มาก พวกนักรบของสะแปอิง
เป็นนักเรียนนักศึกษาระดับเยาว์วัย สมัยหนึ่งเคยมีภาพหลุดรอดออกมาว่า เป็นภาพฝีกการรบในป่า หนังสือพิมพ์
เอาไปลงข่าวฮือฮา
ต่อมาไม่กี่วัน..มีข่าวออกมาจากหน่วยเหนือว่า เป็นภาพนักเรียนแต่งแฟนซี
ไม่ใช่เป็นภาพนักศึกษาฝีกอาวุธ...
แส่ดงให้เห็นว่า "ไส้ศึก" ทำงานสกัดกั้นเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม มนต์ขลังที่จะได้ใครมาเป็นผู้นำของประเทศที่แท้จริงนั้น เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ตอนนั้น จะมีหัวหน้า
ใหญ่ "เบอร์ซาตู ชื้อ ดร.วัน กาเดร์" จากกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งหัวหน้าใหญ่จาก ซ่าอุดิอาระเบีย หรือ กลุ่ม
ประเทศอาหรับทั้งหมด หรือต่อไปถึงหัวหน้าใหญ่ในประเทศสวีเดน อเมริกา และ ยุโรป จะพากันลงมติว่า จะ
เลือกใครมาเป็น " สุลต่านองค์แรก"
รัชทายาทราชวงค์ที่แท้จริงของเชื้อสายสุลต่าน...ถูกเก็บเอาไว้ในความลี้ลับ
เขาลือกันว่าประดาแกนนำต่างๆ รู้กันแล้วว่าเป็นใคร
คีย์แมนโทนบอกว่า ในเบื้องต้นนี้ ขั้นตอนที่สำคัญคือ กำลังอยู่ในข่วงของการเตรียมยึดเมืองให้เป็นที่เปิดเผย
ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะยึดอย่างไร จึงจะทำให้เป็นที่เปิดเผยได้
สถานการณ์ในเวลานี้ จึงอยู่ในทาง ๒ ปัญหา
ปัญหาที่หนึ่ง - ขณะนี้โจรยึดอำนาจรัฐได้แล้วเกือบหมด แต่ยังไม่มีทางประกาศเปิดเผยได้
ปัญหาที่สอง - โจรกำลังวางแผนขั้นแตกหัก หาทาง "ยึดเมือง" แล้วประกาศแก่ชาวโลกได้
คีย์แมนโทนบอกว่า พวกแกนนำเขาคิดหาหนทางใน ๒ ปัญหานี้อยู่ อันหมายถึงประชาชน ยังคงไปไหนมาไหนได้
สะดวก เพราะเป็นอิสลามอยู่ในกลุ่มแนวร่วมของโจรปัตตานี ลักษณะเช่นนี้แหละ ที่แสดงว่าโจรยึดเมืองได้แล้ว
แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนเท่านั้น ยังไม่ได้ประกาศให้ชาวโลกรู้ พวกเขากำลังหาหนทางประกาศอยู่
โทนบอกว่าเขาสงสารและรู้สึกเห็นใจคนพุทธ แต่จะทำอย่างไรได้ มันใหญ่โตเกินไปที่คนอย่างเขาจะออกความเห็น
ผมเดินลงมาส่งคีย์แมนโทนที่ลานจอดรถ เขาขับรถออกไปด้วยท่าทางสดชื่นแจ่มใส ไม่มีแววรับทุกข์อะไรเลย
ตรงกันข้ามกับชาวหาดใหญ่ทั้งหลาย พากันตกอยู่ในอาการขรึมซึมเศร้าฝังลึก บางคนบอกกับผมว่า ชีวิตไม่
ปลอดภัย ถ้าโจรปัตตานีได้ ๓ จังหวัด มันจะกระทบร้ายแรงถึง ๕ - ๖ จังหวัด ภูเก็ต เกาะสมุย เกาะ
สาหร่าย เกาะลันตา...หรือเกาะตะรุเตา ฉิบหายหมด
อ่าวไทย หรืออันดามัน...เสร็จมัน..
ผมบอกกับชาวหาดใหญ่ที่รักกันว่า...เป็นไปไม่ได้
ชาวหาดใหญ่ตอกกลับผมว่า...รัฐบาลก็พูดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันกำลังจะเป็นไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมเงียบอึ้งเลย...
เสร็จใหม่ๆ ด้วยเหตุว่าผมยังคงติดต่อกับคีย์แมนโทนเป็นระยะ ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราว ความดุเดือดเลือด
พล่าน ของพวกโจรปัตตานี พอที่จะประมวลได้
ครั้งหลังสุด ผมยกหูโทรเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ผมบอกว่า ผมหางานรับเหมาใหม่ที่อำเภอจะนะ ห่าง
จากที่เดิม ๑๐ กม.ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนี้บริษัทชิโน-ไทย เป็นผู้รับเหมาใหญ่ รับต่อมาจากบริษัทเมรูเบนี
(ญี่ปุ่น) มีบริษัทเล็กๆรับเหมาช่วงอีกหลายบริษัท โครงการนี้เป็นโครงการโรงงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
เขาอยากได้งานทำ จึงรับปากจะรีปไปพบผม
คีย์แมนโทนบอกให้ผมรอพบหน่อย เขาต้องการพบผมเพื่อจะหางานทำ จะไปพบผมที่อำเภอหาดใหญ่ เขาจะมี
เวลาช่วงเช้าตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น แล้วจะรับกลับ
ผมรับปากด้วยความดีใจที่จะได้พบโทน ตั้งใจจะต้องหาคำตอบ และจะต้องหางานให้เขาทำ ไม่เช่นนั้นก็จะทำ
ให้เขาเกิดเข้าใจผิดว่า ผมอยากรู้เรื่องภาคใต้มากเกินไป
แต่ไม่นาน...หลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่...
ถึงเวลานั้น จะไม่มีอะไรปิดบังอีกแล้ว...เขาต้องรู้ "ตัวจริง" ของผมจนได้
ผมนั่งรออยู่ห้องพัก ขณะนั่งรอ ผมได้เขียนต้นฉบับให้ นสพ. บ้านเมือง อีก ๒ ตอน เป็นเรื่อง "ยะลา
วิกฤติ" กับเรื่องประวัติความเป็นมาของโจรปัตตานี แล้วผมก็ส่งให้ "คุณวิเชียร อินจนา" หน.บก.บ้านเมือง
อีกไม่นาน คีย์แมนโทนก็โผล่เข้ามาในห้อง
คีย์แมนโทนถามเรื่องงาน ผมบอกเขาว่า "คุณช้าง" นายช่างคนเดิม ทำงานอยู่โรงไฟฟ้า จะนะ เพิ่งจะ
ลงมือ ถ้าโทนอยากทำงาน จะฝากให้ เขาบอกว่าเขาอยากทำ ผมจึงต่อโทรศัพท์ถึงคุณช้างที่โรงไฟฟ้า ฝาก
งานให้เขาทำได้โดยไม่ยาก
ผมถือโอกาสนั้นสอบถามเรื่องราวโจรปัตตานี เขาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบังเหมือนเช่นเคย โดยได้นำความน่า
กลัวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง...เขาบอกว่าโจรก่อการร้ายได้ส้อง สุมกำลังผู้คนเอาไว้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กำหนด
ดีเดย์ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๙ หรืออย่างช้า ต้นปี ๒๕๕๐
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นหน่วยกล้าตาย จบวิทยายุทธ์มาจากต่างประเทศ ภายใต้การนำของหัวหน้าโจร ใช้ชื่อจัดตั้งว่า
"ดอเยาะ" ดอเยาะรับบัญชามาจากสะแปอิง เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา
คนของดอเยาะส่วนหนึ่ง มาจากอาเจะห์ เป็นนักรบชั้นแนวหน้า
ทั้งสองกองกำลัง มีการเตรียมพร้อมที่จะก่อความไม่สงบขั้นรุนแรง
กลุ่มที่สอง มีหัวหน้าโจรชื่อ "มะแซ อุเซ็ง" ค่าหัว ๕ ล้านบาท มะแซ อุเซ็ง มีอำนาจใหญ่โตมาก ถ้าพวกโจร
ปัตตานีได้รับชัยชนะ มะแซ อุเซ็ง จะได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ. และจะได้เป็นรัฐมนตรีว่า กระทรวงกลาโหม
กลุ่มที่ ๓ มีหัวหน้ามากมายหลายคน รวบรวมกองกำลังหญิงและเด็กเอาไว้ขึ้นยึดที่ทำการของรัฐ เช่น สถานี
ตำรวจ สถานีอนามัย โรงพยาบาล สำนักงาน อบต. ที่ว่าการอำเภอ ศาลากลางจังหวัด ศาล วัด ศาลาประชาคม
มีเป้าหมายจะปิดล้อมค่ายทหาร และตำรวจ บังคับให้ยอมจำนนโจรจะบุกเข้ายึดพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ แล้วจะใช้เป็นที่ประกาศเอกราช....
คีย์แมนโทนบอกต่อไปว่า ถ้าแผนการต่างๆไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ โจรปัตตานีจะใช้วิธีก่อกวนทำความเสีย
หายให้เกิดขึ้นจนทนไม่ไหว การฆ่าตัดคอ เผาดิบ หรือเอามีดเชือดให้เป็นคดีฮือฮา ทำลายความศรัทธาของ
ประชาชนว่า รัฐไม่มีความสามารถทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ จะทำให้เกิดความกดดันในรูป
แบบต่างๆ หนักหน่วงยิ่งขึ้น
มีเรื่องจริงที่โจรทำได้แล้วในวันนี้ (๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ได้แก่การยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ โจรสามารถ
ควบคุมมวลชนได้ครบทุกพื้นที่ พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนพุทธกลายเป็น "ตุ๊กตาไขลาน" เดินกะ
ย่องกะแย่งเหมือนคนตายทั้งเป็น
เรื่องจริงอีกเรื่อง ได้แก่ ไม่มีใครรู้ว่า "หัวหน้าบงการใหญ่" อยู่เบื้องหลังคือใคร
คีย์แมนโทน บอกว่า ฝ่ายราชการเพ่งเล็งไปที่สะแปอิง โรงเรียนธรรมวิทยา ว่าเป็นหัวหน้าโจร
จะว่าสะแปอิงก็ใช่ เพราะว่าผู้ที่จะถูกเปิดตัวให้เป็นผู้นำสูงสุด ในวันประกาศตั้งรัฐปัตตานี ได้แก่ "สะแปอิง"
อย่างแน่นอน สะแปอิง มีฐานะทางสังคมสร้างเอาไว้สูง ฝีก "นักรบ" เอาไว้มาก พวกนักรบของสะแปอิง
เป็นนักเรียนนักศึกษาระดับเยาว์วัย สมัยหนึ่งเคยมีภาพหลุดรอดออกมาว่า เป็นภาพฝีกการรบในป่า หนังสือพิมพ์
เอาไปลงข่าวฮือฮา
ต่อมาไม่กี่วัน..มีข่าวออกมาจากหน่วยเหนือว่า เป็นภาพนักเรียนแต่งแฟนซี
ไม่ใช่เป็นภาพนักศึกษาฝีกอาวุธ...
แส่ดงให้เห็นว่า "ไส้ศึก" ทำงานสกัดกั้นเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม มนต์ขลังที่จะได้ใครมาเป็นผู้นำของประเทศที่แท้จริงนั้น เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ตอนนั้น จะมีหัวหน้า
ใหญ่ "เบอร์ซาตู ชื้อ ดร.วัน กาเดร์" จากกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งหัวหน้าใหญ่จาก ซ่าอุดิอาระเบีย หรือ กลุ่ม
ประเทศอาหรับทั้งหมด หรือต่อไปถึงหัวหน้าใหญ่ในประเทศสวีเดน อเมริกา และ ยุโรป จะพากันลงมติว่า จะ
เลือกใครมาเป็น " สุลต่านองค์แรก"
รัชทายาทราชวงค์ที่แท้จริงของเชื้อสายสุลต่าน...ถูกเก็บเอาไว้ในความลี้ลับ
เขาลือกันว่าประดาแกนนำต่างๆ รู้กันแล้วว่าเป็นใคร
คีย์แมนโทนบอกว่า ในเบื้องต้นนี้ ขั้นตอนที่สำคัญคือ กำลังอยู่ในข่วงของการเตรียมยึดเมืองให้เป็นที่เปิดเผย
ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะยึดอย่างไร จึงจะทำให้เป็นที่เปิดเผยได้
สถานการณ์ในเวลานี้ จึงอยู่ในทาง ๒ ปัญหา
ปัญหาที่หนึ่ง - ขณะนี้โจรยึดอำนาจรัฐได้แล้วเกือบหมด แต่ยังไม่มีทางประกาศเปิดเผยได้
ปัญหาที่สอง - โจรกำลังวางแผนขั้นแตกหัก หาทาง "ยึดเมือง" แล้วประกาศแก่ชาวโลกได้
คีย์แมนโทนบอกว่า พวกแกนนำเขาคิดหาหนทางใน ๒ ปัญหานี้อยู่ อันหมายถึงประชาชน ยังคงไปไหนมาไหนได้
สะดวก เพราะเป็นอิสลามอยู่ในกลุ่มแนวร่วมของโจรปัตตานี ลักษณะเช่นนี้แหละ ที่แสดงว่าโจรยึดเมืองได้แล้ว
แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนเท่านั้น ยังไม่ได้ประกาศให้ชาวโลกรู้ พวกเขากำลังหาหนทางประกาศอยู่
โทนบอกว่าเขาสงสารและรู้สึกเห็นใจคนพุทธ แต่จะทำอย่างไรได้ มันใหญ่โตเกินไปที่คนอย่างเขาจะออกความเห็น
ผมเดินลงมาส่งคีย์แมนโทนที่ลานจอดรถ เขาขับรถออกไปด้วยท่าทางสดชื่นแจ่มใส ไม่มีแววรับทุกข์อะไรเลย
ตรงกันข้ามกับชาวหาดใหญ่ทั้งหลาย พากันตกอยู่ในอาการขรึมซึมเศร้าฝังลึก บางคนบอกกับผมว่า ชีวิตไม่
ปลอดภัย ถ้าโจรปัตตานีได้ ๓ จังหวัด มันจะกระทบร้ายแรงถึง ๕ - ๖ จังหวัด ภูเก็ต เกาะสมุย เกาะ
สาหร่าย เกาะลันตา...หรือเกาะตะรุเตา ฉิบหายหมด
อ่าวไทย หรืออันดามัน...เสร็จมัน..
ผมบอกกับชาวหาดใหญ่ที่รักกันว่า...เป็นไปไม่ได้
ชาวหาดใหญ่ตอกกลับผมว่า...รัฐบาลก็พูดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันกำลังจะเป็นไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมเงียบอึ้งเลย...
บทที่ ๒๐ จากกรือเซะ ถึง ตากใบ
เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจไม่มีใครอยากให้เกิด มันก็เกิด
อันนั้นได้แก่กรณี กรือเซะ และตากใบ
หนังสือเล่มนี้จะยังไม่เขียนถึงรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมันจะนำไปสู่ข้อขัดแย้งมากขึ้น มากกว่าจะ
เป็นผลดี ผมจะสรุปเพียงสั้นๆว่า เมื่อเกิดการปล้นปีนค่ายทหารพัฒนา อำเภอเจาะไอร้อง...๔ มกราคม ๒๕๔๗
ทำให้สถานที่ราชการที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อนระอุขึ้นมา
เมื่อมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี บุกโจมตีเจ้าหน้าที่แล้วหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวในสุเหร่ากรือเซะ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ทหารยกกำลังตามเข้าไปล้อมเอาไว้จนเกือบค่ำทำให้ทหารวิตกว่า ถ้าปล่อยให้ตะวันตกดิน สถานการณ์จะพลิก
ผันอย่างแน่นอน ทหารจึงบุกเข้าจับ แล้วเกิดยิงกันขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีถูกจับตายเรียบในสุเหร่า
มันได้กลายเป็นบาดแผลร้ายกาจบาดหมางใจ กินใจกันรุนแรงอีกคำรบหนึ่ง
ได้เกิดวิพากย์วิจารณ์ และตำหนิติเตียนในสื่อและสังคมการเมืองของประเทศไทยว่า "ทหารทำรุนแรงเกินเหตุ"
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทำรุนแรง เข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ความปราณี เมือทหาร ตำรวจเข้า
ไประงับเหตุ กลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ยินยอมให้จับกุม เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางออกสุดท้ายจึงต้องเป็นเช่นนี้ ถ้า
ไม่ปฏิบัติเช่นนี้ จะให้ทำอย่างไรเช่นเดียวกัน กรณีตากใบ ก็ไม่แตกต่างจากกรณีอื่น
ทหาร ตำรวจ ไม่มีทางออกอื่นใดที่จะทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ วิธีแก้คือต้องจับกุมคุมตัวผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อ
จะเอาไปสอบสวน แต่ได้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทำให้มีคนขาดอากาศหายใจ ล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่
สุดก็มีคนรุมประนามทหาร
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า แม้ทหาร ตำรวจ จะพยายามทำแบบอะลุ้มอะล่วย หรือกระทำอย่างเฉียบขาดรุนแรงก็ตาม
ก็ไม่อาจทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดี "ยุติ" การก่อความไม่สงบ เพราะเจตนาของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เป็นกลุ่มโจรปัตตานี
มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะทำให้เกิดสงครามในที่สุดความเห็นของผู้สันทัดกรณี กล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกัน
ระหว่างการปราบปรามที่ถูกประนามว่า กระทำรุนแรงเกินขอบเขตนั้น ไม่สามารถเทียบได้กับความร้ายกา
จรุนแรง ที่ฝ่ายโจรปัตตานี ได้กระทำต่อข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนตาดำๆ มีคนล้มตายในสภาพ
ศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ ผิดมนุษย์มะนานับไม่ถ้วน ที่เคยกระทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่มีโจรปัตตานี ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่ก่อกบฏต่อแผ่นดิน เราก็จะไม่มีอะไรให้บาดหมาง
เพราะว่าหัวใจคนไทยที่แท้จริง ไม่ยินยอมให้ศาสนามาแบ่งแยกให้แตกสามัคคีอยู่แล้ว เราจะสามารถอยู่ร่วม
แผ่นดินได้อย่างปกติสุข ต่างคนต่างปฏิบัติตัวปฏิบัติตน ตามความเชื่อถือและความศรัทธาที่แตกต่างกันออกไปโดย
ปกตินั้น ขอบเขตความเชื่อของคนพุทธนั้นไม่มีข้อห้ามไม่ให้ร่วมบุญกับคนศาสนาอื่น คนพุทธหรือชาวพุทธ มีลักษณะที่
"ผ่อนคลาย" ในทุกกรณี คนพุทธสามารถเข้าร่วมบุญได้กับทุกคน ทุกศาสนา ถ้าศาสดานั้นๆ ผ่อนปรนให้เข้าร่วม
ได้ คนพุทธจะเข้าร่วมได้ทันที
ถ้าไม่มีโจรปัตตานี พุทธศาสนากับศาสนาอิสลาม จะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข หรือว่า แม้โจรปัตตานี จะปลุก
ให้คนอิสลามเกลียดพุทธเพียงใด แต่เราก็รู้ว่าศาสนาไม่เกี่ยวเพราะว่าที่แท้จริง...โจรปัตตานีอาศัยศาสนา
เป็นเครื่องมือสงครามต่างหากสักวันหนึ่ง จะมีคนพิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามไม่เกี่ยว
พุทธและอิสลาม ไม่เคยเป็นศัตรูของกันและกันกรณี กรือเซะ กับตากใบ...น่าจะเป็นผลพวงความชั่วร้ายที่น่า
ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง**** บัดนี้เรื่องที่คุณสอาด จันทร์ดีเขียนขึ้นจากความเป็นจริง ได้เผยโฉมหน้ามาให้เห็นจะจะแล้ว ด้วยแผน
การที่กลุ่มโจร (มี กลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้, มหาธีร์ มูฮัมหมัด - อดีตนายกฯของมาเลเซีย และกลุ่มบงการ
"อัลไคด้า" )ได้ร่วมกันทำแผนจะยึดครองประเทศไทยทั้งประเทศใน ๑๐ ปี เหตุการณ์ที่เขียนนี้เป็นเพียงหนึ่ง
ในหลายๆแผนลวงโลกเพื่อจะ ดิสเครดิสประเทศไทยต่อสังคมโลก ซึ่งแผนการณ์ได้ถูกแฉโดย เอกสาร "แนว
ร่วม คนไทยรักชาติ" ฉบับปฐมฤกษ์ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ โดยทีกลุ่มก่อการร้ายที่ กรือเซะ และตากใบ อาจเป็น
ลูกชาวพุทธที่ถูกลักพาตัวเมือ ๓๙ ปีก่อน ถูกนำไปเลี้ยง และฝีกก่อการร้ายมาฆ่าคนไทยอีกที โดยกล่าวว่า
"จำไว้ ให้คนของมันฆ่าฟันกันเอง"
อันนั้นได้แก่กรณี กรือเซะ และตากใบ
หนังสือเล่มนี้จะยังไม่เขียนถึงรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมันจะนำไปสู่ข้อขัดแย้งมากขึ้น มากกว่าจะ
เป็นผลดี ผมจะสรุปเพียงสั้นๆว่า เมื่อเกิดการปล้นปีนค่ายทหารพัฒนา อำเภอเจาะไอร้อง...๔ มกราคม ๒๕๔๗
ทำให้สถานที่ราชการที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อนระอุขึ้นมา
เมื่อมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี บุกโจมตีเจ้าหน้าที่แล้วหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวในสุเหร่ากรือเซะ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ทหารยกกำลังตามเข้าไปล้อมเอาไว้จนเกือบค่ำทำให้ทหารวิตกว่า ถ้าปล่อยให้ตะวันตกดิน สถานการณ์จะพลิก
ผันอย่างแน่นอน ทหารจึงบุกเข้าจับ แล้วเกิดยิงกันขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีถูกจับตายเรียบในสุเหร่า
มันได้กลายเป็นบาดแผลร้ายกาจบาดหมางใจ กินใจกันรุนแรงอีกคำรบหนึ่ง
ได้เกิดวิพากย์วิจารณ์ และตำหนิติเตียนในสื่อและสังคมการเมืองของประเทศไทยว่า "ทหารทำรุนแรงเกินเหตุ"
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทำรุนแรง เข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ความปราณี เมือทหาร ตำรวจเข้า
ไประงับเหตุ กลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ยินยอมให้จับกุม เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางออกสุดท้ายจึงต้องเป็นเช่นนี้ ถ้า
ไม่ปฏิบัติเช่นนี้ จะให้ทำอย่างไรเช่นเดียวกัน กรณีตากใบ ก็ไม่แตกต่างจากกรณีอื่น
ทหาร ตำรวจ ไม่มีทางออกอื่นใดที่จะทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ วิธีแก้คือต้องจับกุมคุมตัวผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อ
จะเอาไปสอบสวน แต่ได้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทำให้มีคนขาดอากาศหายใจ ล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่
สุดก็มีคนรุมประนามทหาร
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า แม้ทหาร ตำรวจ จะพยายามทำแบบอะลุ้มอะล่วย หรือกระทำอย่างเฉียบขาดรุนแรงก็ตาม
ก็ไม่อาจทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดี "ยุติ" การก่อความไม่สงบ เพราะเจตนาของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เป็นกลุ่มโจรปัตตานี
มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะทำให้เกิดสงครามในที่สุดความเห็นของผู้สันทัดกรณี กล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกัน
ระหว่างการปราบปรามที่ถูกประนามว่า กระทำรุนแรงเกินขอบเขตนั้น ไม่สามารถเทียบได้กับความร้ายกา
จรุนแรง ที่ฝ่ายโจรปัตตานี ได้กระทำต่อข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนตาดำๆ มีคนล้มตายในสภาพ
ศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ ผิดมนุษย์มะนานับไม่ถ้วน ที่เคยกระทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่มีโจรปัตตานี ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่ก่อกบฏต่อแผ่นดิน เราก็จะไม่มีอะไรให้บาดหมาง
เพราะว่าหัวใจคนไทยที่แท้จริง ไม่ยินยอมให้ศาสนามาแบ่งแยกให้แตกสามัคคีอยู่แล้ว เราจะสามารถอยู่ร่วม
แผ่นดินได้อย่างปกติสุข ต่างคนต่างปฏิบัติตัวปฏิบัติตน ตามความเชื่อถือและความศรัทธาที่แตกต่างกันออกไปโดย
ปกตินั้น ขอบเขตความเชื่อของคนพุทธนั้นไม่มีข้อห้ามไม่ให้ร่วมบุญกับคนศาสนาอื่น คนพุทธหรือชาวพุทธ มีลักษณะที่
"ผ่อนคลาย" ในทุกกรณี คนพุทธสามารถเข้าร่วมบุญได้กับทุกคน ทุกศาสนา ถ้าศาสดานั้นๆ ผ่อนปรนให้เข้าร่วม
ได้ คนพุทธจะเข้าร่วมได้ทันที
ถ้าไม่มีโจรปัตตานี พุทธศาสนากับศาสนาอิสลาม จะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข หรือว่า แม้โจรปัตตานี จะปลุก
ให้คนอิสลามเกลียดพุทธเพียงใด แต่เราก็รู้ว่าศาสนาไม่เกี่ยวเพราะว่าที่แท้จริง...โจรปัตตานีอาศัยศาสนา
เป็นเครื่องมือสงครามต่างหากสักวันหนึ่ง จะมีคนพิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามไม่เกี่ยว
พุทธและอิสลาม ไม่เคยเป็นศัตรูของกันและกันกรณี กรือเซะ กับตากใบ...น่าจะเป็นผลพวงความชั่วร้ายที่น่า
ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง**** บัดนี้เรื่องที่คุณสอาด จันทร์ดีเขียนขึ้นจากความเป็นจริง ได้เผยโฉมหน้ามาให้เห็นจะจะแล้ว ด้วยแผน
การที่กลุ่มโจร (มี กลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้, มหาธีร์ มูฮัมหมัด - อดีตนายกฯของมาเลเซีย และกลุ่มบงการ
"อัลไคด้า" )ได้ร่วมกันทำแผนจะยึดครองประเทศไทยทั้งประเทศใน ๑๐ ปี เหตุการณ์ที่เขียนนี้เป็นเพียงหนึ่ง
ในหลายๆแผนลวงโลกเพื่อจะ ดิสเครดิสประเทศไทยต่อสังคมโลก ซึ่งแผนการณ์ได้ถูกแฉโดย เอกสาร "แนว
ร่วม คนไทยรักชาติ" ฉบับปฐมฤกษ์ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ โดยทีกลุ่มก่อการร้ายที่ กรือเซะ และตากใบ อาจเป็น
ลูกชาวพุทธที่ถูกลักพาตัวเมือ ๓๙ ปีก่อน ถูกนำไปเลี้ยง และฝีกก่อการร้ายมาฆ่าคนไทยอีกที โดยกล่าวว่า
"จำไว้ ให้คนของมันฆ่าฟันกันเอง"
บทที่ ๑๙ โจรปัตตานี...รุกทางการเมืองหนัก
ปี พ.ศ ๒๕๒๗ - ๒๕๔๙
เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้ง
หลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบท
บาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้
แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะ
เป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่า
ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้
แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้
คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคง
ของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน
นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลี้ลับอย่างมิดชิด
หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด
นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบ
ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย
โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฏเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึง
ความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฏิบัติที่กระทบต่อ
พระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง
ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ
โจรปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ในสภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ
ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุง
รูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดย
อัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จาก
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฏิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้นไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
คนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย
นักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!!
นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่
ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น
ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฏขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บาง
ท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลาก
หลายมากขึ้นคนไทยพากัน ต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจเพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทย
ไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่นคนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำ
ใสใจจริง
คนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกั
น...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฏิวัติ
รัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่น
คงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช.
คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ
ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่า
และขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียว
ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็
ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพุทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ
จะเอาให้ร้องไม่ออก
ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...
แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่าโจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้
ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้
ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิสรภาพไป
ไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว
ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใช่รุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้น
รุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน
หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลย
โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น
การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว
ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการเคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบ
หัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ?
ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่
ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะ
บานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่
เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้ง
หลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบท
บาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้
แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะ
เป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่า
ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้
แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้
คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคง
ของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน
นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลี้ลับอย่างมิดชิด
หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด
นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบ
ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย
โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฏเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึง
ความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฏิบัติที่กระทบต่อ
พระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง
ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ
โจรปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ในสภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ
ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุง
รูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดย
อัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จาก
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฏิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้นไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
คนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย
นักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!!
นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่
ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น
ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฏขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บาง
ท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลาก
หลายมากขึ้นคนไทยพากัน ต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจเพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทย
ไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่นคนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำ
ใสใจจริง
คนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกั
น...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฏิวัติ
รัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่น
คงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช.
คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ
ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่า
และขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียว
ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็
ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพุทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ
จะเอาให้ร้องไม่ออก
ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...
แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่าโจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้
ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้
ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิสรภาพไป
ไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว
ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใช่รุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้น
รุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน
หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลย
โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น
การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว
ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการเคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบ
หัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ?
ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่
ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะ
บานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่
บทที่ ๑๘. ๑ ช่วง...โฉมหน้าโจรหดหายไป
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๒๕
ในยุคประเทศไทยมีพรรคคอมมิวนิสต์ (พคท.) รบกับรัฐบาล เป็นยุคที่โจรแบ่งแยกดินแดนเลื่อนไหวรุนแรงไม่
ได้เพราะรัฐบาลก็ใช้กำลังปราปปรามกับ ผกค. อย่างถึงพริกถึงขิง พวกโจรที่ก๋ากั่นออกมา ก็จะถูกปราบอย่าง
ไม่ไว้หน้าในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย ทำให้พวกโจรต้องหลบฉากรักษาตัวรอดเอาไว้ก่อน แต่พวกโจรปัตตานี และ
โจรจับตัวเรียกค่าไถ่จำนวนหนึ่ง ได้รับความเสียหายสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย
ทางการสืบทราบมาว่า โจรปัตตานีได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เป็นการให้ความ
ช่วยเหลือในฐานะหัวอกเดียวกัน แต่อยู่บนเงื่อนไข "มิตรและสหาย" สถานเดียว ไม่ใช่เป็นการร่วมอุดมการณ์
ในขณะพรรคคอมมิวนิสต์ทำสงคราม เพื่อหวังจะเปลื่ยนแปลงระบอบการปกครอง ให้ได้ไม่เกินปี ๒๕๒๕ นั้นโจร
ปัตตานีตระหนักดีว่า ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ชนะศึก พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะใช้ลัทธิเผด็จการ รวบอำนาจการ
ปกครองเป็ดเสร็จ ไม่มีทางที่ปัตตานีจะเรียกร้องอะไรได้ ดีไม่ดีอาจถูกปราบแบบถอนรากถอนโคนอีกด้วยโจร
ปัตตานีจึงหันไปพัฒนาบุคลากรอย่างขนานใหญ่ เพราะเชื่อว่า ถ้าขบวนการ "พูโล" มีผู้คนที่ทรงภูมิปัญญาเขา
หล่านั้นจะสามารถต่อกรกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ในภายหลัง พวกโจรปัตตานีหรือ "โจรพูโล" จึงทุ่มเงินลงไป
เพื่อพัฒนาคน
ในช่วงดังกล่าวนี้ โฉมหน้าของโจรก่อการร้าย " ปรากฏไม่มาก"
จะมีอยู่ไม่กี่คน เช่น "เปาะสู"เป็นต้น
ในระยะเวลาดังกล่าวนี้ โจรปัตตานีได้คัดสรรตัวแทนส่งไปศึกษาต่อทั้งในตะวันออกกลาง ประเทศยุโรป-ตะวัน
ตก รวมถึง อเมริกา คณะกรรมการพัฒนาการศึกษา ได้ติดตามดูแลตัวแทนที่เป็นนักศึกษา มีการประเมินผลและ
วัดผล เก็บข้อมูลอย่างสมบูรณ์ว่า เยาวชนที่คณะกรรมการออกทุนให้นั้น เมื่อกลับมาเมืองไทย จะได้เป็นเพชร
เม็ดงามของพวกขบวนการพูโล สืบทอดอุดมการณ์ของอับดุลกาเดร์และหะยีสุหลง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาต่อไป
ฝ่ายราชการที่ไม่ประสากับความลึ้ลับของเรื่องนี้เป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อข่าวคราวที่น่ากลัวเริ่มจางลง ก็ทึกทัก
เอาว่าโจรปัตตานีกำลังจะหมดไปจากประเทศไทย
รัฐบาลเองก็ได้ใช้จ่ายเงินทุนส่งเสริมพวกโจร ให้พวกเขาได้รับการฝึกที่ต่างประเทศ
ในยุคประเทศไทยมีพรรคคอมมิวนิสต์ (พคท.) รบกับรัฐบาล เป็นยุคที่โจรแบ่งแยกดินแดนเลื่อนไหวรุนแรงไม่
ได้เพราะรัฐบาลก็ใช้กำลังปราปปรามกับ ผกค. อย่างถึงพริกถึงขิง พวกโจรที่ก๋ากั่นออกมา ก็จะถูกปราบอย่าง
ไม่ไว้หน้าในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย ทำให้พวกโจรต้องหลบฉากรักษาตัวรอดเอาไว้ก่อน แต่พวกโจรปัตตานี และ
โจรจับตัวเรียกค่าไถ่จำนวนหนึ่ง ได้รับความเสียหายสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย
ทางการสืบทราบมาว่า โจรปัตตานีได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เป็นการให้ความ
ช่วยเหลือในฐานะหัวอกเดียวกัน แต่อยู่บนเงื่อนไข "มิตรและสหาย" สถานเดียว ไม่ใช่เป็นการร่วมอุดมการณ์
ในขณะพรรคคอมมิวนิสต์ทำสงคราม เพื่อหวังจะเปลื่ยนแปลงระบอบการปกครอง ให้ได้ไม่เกินปี ๒๕๒๕ นั้นโจร
ปัตตานีตระหนักดีว่า ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ชนะศึก พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะใช้ลัทธิเผด็จการ รวบอำนาจการ
ปกครองเป็ดเสร็จ ไม่มีทางที่ปัตตานีจะเรียกร้องอะไรได้ ดีไม่ดีอาจถูกปราบแบบถอนรากถอนโคนอีกด้วยโจร
ปัตตานีจึงหันไปพัฒนาบุคลากรอย่างขนานใหญ่ เพราะเชื่อว่า ถ้าขบวนการ "พูโล" มีผู้คนที่ทรงภูมิปัญญาเขา
หล่านั้นจะสามารถต่อกรกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ในภายหลัง พวกโจรปัตตานีหรือ "โจรพูโล" จึงทุ่มเงินลงไป
เพื่อพัฒนาคน
ในช่วงดังกล่าวนี้ โฉมหน้าของโจรก่อการร้าย " ปรากฏไม่มาก"
จะมีอยู่ไม่กี่คน เช่น "เปาะสู"เป็นต้น
ในระยะเวลาดังกล่าวนี้ โจรปัตตานีได้คัดสรรตัวแทนส่งไปศึกษาต่อทั้งในตะวันออกกลาง ประเทศยุโรป-ตะวัน
ตก รวมถึง อเมริกา คณะกรรมการพัฒนาการศึกษา ได้ติดตามดูแลตัวแทนที่เป็นนักศึกษา มีการประเมินผลและ
วัดผล เก็บข้อมูลอย่างสมบูรณ์ว่า เยาวชนที่คณะกรรมการออกทุนให้นั้น เมื่อกลับมาเมืองไทย จะได้เป็นเพชร
เม็ดงามของพวกขบวนการพูโล สืบทอดอุดมการณ์ของอับดุลกาเดร์และหะยีสุหลง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาต่อไป
ฝ่ายราชการที่ไม่ประสากับความลึ้ลับของเรื่องนี้เป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อข่าวคราวที่น่ากลัวเริ่มจางลง ก็ทึกทัก
เอาว่าโจรปัตตานีกำลังจะหมดไปจากประเทศไทย
รัฐบาลเองก็ได้ใช้จ่ายเงินทุนส่งเสริมพวกโจร ให้พวกเขาได้รับการฝึกที่ต่างประเทศ
บทที่ ๑๗ การก่อการร้าย...โจรจับตัวเรียกค่าไถ่
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕...ก่อนสิ้นยุคจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ โจรปัตตานีเริ่มแผนการใหม่ด้วยการจับตัวเรียกค่าไถ่
สร้างความเดือดร้อนให้พ่อค้าประชาชน และก่อให้เกิดความปั่นป่วนแก่รัฐ ยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้สงบลงได้
การจับตัวเรียกค่าไถ่แต่ละครั้ง จะมีชื่อหัวหน้าโจรกบฏขึ้นมา เดี๋ยวคนโน้น เดี๋ยวคนนี้ แต่ละคนล้วนแต่ก๋ากั่นน่า
สะพรึงกลัว คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่ เมื่อรวดชีวิตกลับมาได้ บางคนต้องเลิกอาชีพ หลบหนีไปอยู่ที่อื่นบาง
คนต้องรับผิดชอบ "ส่งเสีย" ลูกของโจรป่าให้ได้เข้าเรียนถึงขึ้นมหาวิทยาลัย โจรปัตตานีปล่อยตัวออกมาอย่าง
มีเงื่อนไข
คำว่า "ส่งเสียลูกของโจรป่า" เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่ของคนที่ถูกโจรจับเอาไปรีด บางคนก็เอาเงินสดก้อนใหญ่
บางคน... โจรไม่บีบเอาเงิน แต่ได้บังคับให้ส่งเสียบุตร ทั้งหญิงและชายให้รับผิดชอบแทน ถ้าไม่เช่นนั้นจะ
เชือดคอให้ตายอยู่กลางป่า
คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่บางราย ต้องส่งเสียลูกของโจร ด้วยความรับผิดชอบและอดทน ลูกโจรเรียนจบ
มหาวิทยาลัย ได้เข้ารับราชการ บางคนออกไปเป็นนักการเมือง โดยที่ลูกตัวเองต้องหยุดเรียนออกมาทำงาน
หาเงินส่งเสียลูกของโจร คนที่รู้ความจริงว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ คือ คนผู้เป็นพ่อที่ถูกโจรจับเข้าป่า คนอื่นไม่รู้ด้วย
โจรปัตตานี ทำทุกอย่างเพื่อจะหาทางเอาชนะในสงครามกบฏของพวกเขาการก่อการร้าย – โจรจับตัวเรียก
ค่าไถ่จึงเป็นเรื่องน่าสยดสยองยิ่งนัก
สถานการณ์การก่อการร้าย
ลัทธิก่อการร้าย ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดในประเทศไทยยุคนี้ แท้ที่จริง การก่อการร้ายได้เกิดกับประเทศไทยมานาน
แล้วโดยที่คนไทยไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย เมือเกิดเหตุร้ายขึ้นมา ก็ไม่บอกได้ว่าเป็นเหตุร้ายแบบไหน
ลัทธิก่อการร้าย (terrorist) เป็นลัทธิของคนป่าเถื่อน ใช้ปฏิบัติการไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ คนที่
บงการให้ทำ เป็นพวกไม่มีศาสนา ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ แต่คนพวกนี้ จะอ้างการกระทำว่า เป็นความประสงค์
ของพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีคนขานรับว่า การก่อการร้าย เป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง การก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่
หมายถึง"นักรบ" ของกระบวนการนี้ ได้รับการปลูกฝังล้างสมอง ให้มีความกล้าหาญถึงขั้นยอมตายถวายชีวิต
ลัทธิก่อการร้ายได้กลายเป็น "หอกเล่มใหญ่" ไล่ล่าฆ่าคนปานว่าเล่นบนโลกกลมๆใบนี้ โจรปัตตานีได้ใช้ลัทธิก่อ
การร้าย ทำสงครามกับรัฐบาลรัฐบาลที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในปัญหาของตนเอง ตกเป็นเหยื่อของพวกผู้ก่อการร้ายอย่างขนานใหญ่ สิ่งที่ทำให้ตก
เป็นเหยื่ออย่างร้ายกาจ ได้แก่ "ยุทธวิธี" ที่แตกต่างกัน โจรก่อการร้ายยิงมาจากมุมมืด...ยิงตายแล้ว
กระโดดขึ้นคร่อมศพ เยี่ยวรดศพ ประจานให้เสียหาย แล้วคว้าอาวุธของทหารตำรวจติดมือไปด้วย
ทหาร ตำรวจ อยู่ในทีสว่าง...เป็นที่โล่งตา มองเป็นเป้านิ่ง จึงถูกถล่มอย่างเมามัน
นอกจากนี้ โจรปัตตานียังใช้วิธีการก่อวินาศกรรม (Sabotage) เช่นวางระเบิดทางรถไฟ ขุดหลุมให้รถตกไป
ทั้งคัน จุดระเบิดด้วยมือ วิธีแบบนี้ วงการลัทธิก่อการร้ายเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "แซบโบตาจ" ดังที่ผมวง
เล็บเอาไว้นั่นแหละครับ
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตกอยู่ในสถานการณ์สงครามโจรก่อการร้าย ที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อ
ประเทศชาติและประชาชน โดยมีความไม่มั่นคงของดินแดนเป็นเดิมพัน รัฐบาลยังไม่ได้ขยับทิศทางแก้ปัญหาที่
เป็นแฟคเตอร์ที่แท้จริงเลย
ถ้ารัฐบาลอยากทราบว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โปรดดูข้อเสนอแนะ และการแสดงความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหา
ที่ได้น้อมนำมามอบให้ด้วยความปรารถนาดี ในหนังสือเล่มนี้
ผมนำรูปภาพ ๓ แผ่นมาให้ดู จะเห็นการก่อการร้าย มีความเลวร้ายเพียงใด
ภาพเหล่านี้ ฟ้องให้เห็นสถานการณ์ที่แท้จริงว่า มันเป็นสถานการณ์ก่อการร้าย ที่จะต้องหาทางทำให้สงบ...ไม่
ว่าจะสูญเสียมากมายเพียงใด เพราะว่า ถ้าโจรไม่เลิก ก็อย่าหวังเลยว่า ๓๐ ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะร่ม
เย็นขึ้นมาได้ ??!!!
ทหารหาญ...ก็ตายเกลื่อน
ตำรวจ ทหาร อยู่ในที่โล่ง
โจรปัตตานี เร้นกายอยู่กับมุมมืดและฝูงชน
ไม่ง่ายเลยที่จะปกป้องตัวเอง
ทหารเองถือปืนเป็นเป้านิ่ง
เขาจะยิงเมื่อใด...จากมุมไหน ใครจะไปรู้
รู้อีกที..ตายเป็นผีไปแล้ว
ฝ่ายรัฐบาล ได้พยายามอย่างใหญ่หลวง ที่จะใช้วิธีการ "สมานฉันท์" ด้วยการส่งทหารไปคุ้มครองประชาชน
นั้นเป็นผลพวงทางความคิดที่ถูก "ไส้ศึก" วางแผนให้หลงทางทหารกับตำรวจ จึงกลายเป็นเหยื่อชิ้นแล้วชิ้นเล่า
ประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ท่านรอคอยรับทราบตัวเลขความสูญเสีย ถูกเผา ถูกฆ่าตัดคอถูกถล่มกลางไรสวน และ
โปรดรอรับทราบตัวเลขความตาย... ทหารหาญก็ตายเกลื่อน
ผมจะรวบรวมทำงานงานประชาชน...ให้ท่านได้รับรู้ ใครกันแน่ที่ถูกฆ่าตายบังเกอร์ จุดยั่วการโจมตี
ทหารคิดว่า บังเกอร์จะช่วยให้ปลอดภัยได้
นั้นเป็นความเข้าใจแบบทหาร
พวกโจรปัตตานี ชอบนัก...บังเกอร์
ง่ายและสะดวกในการยิงถล่มดังภาพนี้...
บังเกอร์ไม่สามารถป้องกันได้เลย
การรบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
กลายเป็นนรกของทหาร
เพราะว่า...โจรไม่มีบังเกอร์
โจรมาวูบใหญ่เหมือนโจรนินจา...ถล่มแล้วถอย
บังเกอร์ คือจุดยั่วการโจมตีระเบิดวัด
เมื่อเห็นภาพแล้ว ขอให้ใช้สติปัญญาการอ่าน อย่าเข้าใจว่าเป็นการปลุกระดม แต่ขอให้เข้าใจเนื้อหาของ
หนังสือเล่มนี้ ที่เปิดโปงแผนการ ของโจรปัตตานี พวกโจรปัตตานี อาศัยการสร้างคัมภีร์ปลอม หลอก
ลวงพี่น้องอิสลามว่า "ฆ่าพุทธ" แล้วได้บุญ โดยเฉพาะการทำลายวัด ฆ่าพระ ยิ่งจะได้บุญมาก คำหลอกลวง
พวกนี้ ถ้าหลอกลวงแล้วไม่มีคนเชื่อก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหามีอยู่ว่า มีคนหลงเชื่อ ว่าฆ่าพระ ฆ่าชาวพุทธ
แล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ทำให้พระและวัดได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ชาวพุทธทั้งหลาย ถูกไล่ล่าฆ่าฟัน
ถ้าไม่หนีเอาตัวรอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีรอให้ราชการมาแก้ปัญหา จนป่านนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ (ธันวาคม - ๒๕๔๙) !!
ยิ่งอำนาจรัฐในห้วงเวลานี้ไม่มีเหลือแล้ว ยิ่งหมดโอกาสแก้ดังนั้น วิธีหนึ่ง ที่จะต้องทำให้เห็น คือชี้ให้ดูว่า พวก
โจรปัตตานีเล่นงานวัดอย่างป่าเถื่อน ผมเอาภาพถ่ายหน้าวัดตันหลงมัสที่ถูกวางระเบิด มาให้ดูโดยที่ชาวพุทธไม่
เคยไปทำลายมัสยิดตอบโต้เลยคนพุทธไม่กล้าเพราะกลัวบาป
ผมไม่อยากเอาภาพโจรเผาวัด ฆ่าสับคอพระมาลง เพราะไม่ต้องการปลุกระดม !!
สร้างความเดือดร้อนให้พ่อค้าประชาชน และก่อให้เกิดความปั่นป่วนแก่รัฐ ยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้สงบลงได้
การจับตัวเรียกค่าไถ่แต่ละครั้ง จะมีชื่อหัวหน้าโจรกบฏขึ้นมา เดี๋ยวคนโน้น เดี๋ยวคนนี้ แต่ละคนล้วนแต่ก๋ากั่นน่า
สะพรึงกลัว คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่ เมื่อรวดชีวิตกลับมาได้ บางคนต้องเลิกอาชีพ หลบหนีไปอยู่ที่อื่นบาง
คนต้องรับผิดชอบ "ส่งเสีย" ลูกของโจรป่าให้ได้เข้าเรียนถึงขึ้นมหาวิทยาลัย โจรปัตตานีปล่อยตัวออกมาอย่าง
มีเงื่อนไข
คำว่า "ส่งเสียลูกของโจรป่า" เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่ของคนที่ถูกโจรจับเอาไปรีด บางคนก็เอาเงินสดก้อนใหญ่
บางคน... โจรไม่บีบเอาเงิน แต่ได้บังคับให้ส่งเสียบุตร ทั้งหญิงและชายให้รับผิดชอบแทน ถ้าไม่เช่นนั้นจะ
เชือดคอให้ตายอยู่กลางป่า
คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่บางราย ต้องส่งเสียลูกของโจร ด้วยความรับผิดชอบและอดทน ลูกโจรเรียนจบ
มหาวิทยาลัย ได้เข้ารับราชการ บางคนออกไปเป็นนักการเมือง โดยที่ลูกตัวเองต้องหยุดเรียนออกมาทำงาน
หาเงินส่งเสียลูกของโจร คนที่รู้ความจริงว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ คือ คนผู้เป็นพ่อที่ถูกโจรจับเข้าป่า คนอื่นไม่รู้ด้วย
โจรปัตตานี ทำทุกอย่างเพื่อจะหาทางเอาชนะในสงครามกบฏของพวกเขาการก่อการร้าย – โจรจับตัวเรียก
ค่าไถ่จึงเป็นเรื่องน่าสยดสยองยิ่งนัก
สถานการณ์การก่อการร้าย
ลัทธิก่อการร้าย ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดในประเทศไทยยุคนี้ แท้ที่จริง การก่อการร้ายได้เกิดกับประเทศไทยมานาน
แล้วโดยที่คนไทยไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย เมือเกิดเหตุร้ายขึ้นมา ก็ไม่บอกได้ว่าเป็นเหตุร้ายแบบไหน
ลัทธิก่อการร้าย (terrorist) เป็นลัทธิของคนป่าเถื่อน ใช้ปฏิบัติการไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ คนที่
บงการให้ทำ เป็นพวกไม่มีศาสนา ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ แต่คนพวกนี้ จะอ้างการกระทำว่า เป็นความประสงค์
ของพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีคนขานรับว่า การก่อการร้าย เป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง การก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่
หมายถึง"นักรบ" ของกระบวนการนี้ ได้รับการปลูกฝังล้างสมอง ให้มีความกล้าหาญถึงขั้นยอมตายถวายชีวิต
ลัทธิก่อการร้ายได้กลายเป็น "หอกเล่มใหญ่" ไล่ล่าฆ่าคนปานว่าเล่นบนโลกกลมๆใบนี้ โจรปัตตานีได้ใช้ลัทธิก่อ
การร้าย ทำสงครามกับรัฐบาลรัฐบาลที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในปัญหาของตนเอง ตกเป็นเหยื่อของพวกผู้ก่อการร้ายอย่างขนานใหญ่ สิ่งที่ทำให้ตก
เป็นเหยื่ออย่างร้ายกาจ ได้แก่ "ยุทธวิธี" ที่แตกต่างกัน โจรก่อการร้ายยิงมาจากมุมมืด...ยิงตายแล้ว
กระโดดขึ้นคร่อมศพ เยี่ยวรดศพ ประจานให้เสียหาย แล้วคว้าอาวุธของทหารตำรวจติดมือไปด้วย
ทหาร ตำรวจ อยู่ในทีสว่าง...เป็นที่โล่งตา มองเป็นเป้านิ่ง จึงถูกถล่มอย่างเมามัน
นอกจากนี้ โจรปัตตานียังใช้วิธีการก่อวินาศกรรม (Sabotage) เช่นวางระเบิดทางรถไฟ ขุดหลุมให้รถตกไป
ทั้งคัน จุดระเบิดด้วยมือ วิธีแบบนี้ วงการลัทธิก่อการร้ายเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "แซบโบตาจ" ดังที่ผมวง
เล็บเอาไว้นั่นแหละครับ
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตกอยู่ในสถานการณ์สงครามโจรก่อการร้าย ที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อ
ประเทศชาติและประชาชน โดยมีความไม่มั่นคงของดินแดนเป็นเดิมพัน รัฐบาลยังไม่ได้ขยับทิศทางแก้ปัญหาที่
เป็นแฟคเตอร์ที่แท้จริงเลย
ถ้ารัฐบาลอยากทราบว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โปรดดูข้อเสนอแนะ และการแสดงความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหา
ที่ได้น้อมนำมามอบให้ด้วยความปรารถนาดี ในหนังสือเล่มนี้
ผมนำรูปภาพ ๓ แผ่นมาให้ดู จะเห็นการก่อการร้าย มีความเลวร้ายเพียงใด
ภาพเหล่านี้ ฟ้องให้เห็นสถานการณ์ที่แท้จริงว่า มันเป็นสถานการณ์ก่อการร้าย ที่จะต้องหาทางทำให้สงบ...ไม่
ว่าจะสูญเสียมากมายเพียงใด เพราะว่า ถ้าโจรไม่เลิก ก็อย่าหวังเลยว่า ๓๐ ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะร่ม
เย็นขึ้นมาได้ ??!!!
ทหารหาญ...ก็ตายเกลื่อน
ตำรวจ ทหาร อยู่ในที่โล่ง
โจรปัตตานี เร้นกายอยู่กับมุมมืดและฝูงชน
ไม่ง่ายเลยที่จะปกป้องตัวเอง
ทหารเองถือปืนเป็นเป้านิ่ง
เขาจะยิงเมื่อใด...จากมุมไหน ใครจะไปรู้
รู้อีกที..ตายเป็นผีไปแล้ว
ฝ่ายรัฐบาล ได้พยายามอย่างใหญ่หลวง ที่จะใช้วิธีการ "สมานฉันท์" ด้วยการส่งทหารไปคุ้มครองประชาชน
นั้นเป็นผลพวงทางความคิดที่ถูก "ไส้ศึก" วางแผนให้หลงทางทหารกับตำรวจ จึงกลายเป็นเหยื่อชิ้นแล้วชิ้นเล่า
ประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ท่านรอคอยรับทราบตัวเลขความสูญเสีย ถูกเผา ถูกฆ่าตัดคอถูกถล่มกลางไรสวน และ
โปรดรอรับทราบตัวเลขความตาย... ทหารหาญก็ตายเกลื่อน
ผมจะรวบรวมทำงานงานประชาชน...ให้ท่านได้รับรู้ ใครกันแน่ที่ถูกฆ่าตายบังเกอร์ จุดยั่วการโจมตี
ทหารคิดว่า บังเกอร์จะช่วยให้ปลอดภัยได้
นั้นเป็นความเข้าใจแบบทหาร
พวกโจรปัตตานี ชอบนัก...บังเกอร์
ง่ายและสะดวกในการยิงถล่มดังภาพนี้...
บังเกอร์ไม่สามารถป้องกันได้เลย
การรบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
กลายเป็นนรกของทหาร
เพราะว่า...โจรไม่มีบังเกอร์
โจรมาวูบใหญ่เหมือนโจรนินจา...ถล่มแล้วถอย
บังเกอร์ คือจุดยั่วการโจมตีระเบิดวัด
เมื่อเห็นภาพแล้ว ขอให้ใช้สติปัญญาการอ่าน อย่าเข้าใจว่าเป็นการปลุกระดม แต่ขอให้เข้าใจเนื้อหาของ
หนังสือเล่มนี้ ที่เปิดโปงแผนการ ของโจรปัตตานี พวกโจรปัตตานี อาศัยการสร้างคัมภีร์ปลอม หลอก
ลวงพี่น้องอิสลามว่า "ฆ่าพุทธ" แล้วได้บุญ โดยเฉพาะการทำลายวัด ฆ่าพระ ยิ่งจะได้บุญมาก คำหลอกลวง
พวกนี้ ถ้าหลอกลวงแล้วไม่มีคนเชื่อก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหามีอยู่ว่า มีคนหลงเชื่อ ว่าฆ่าพระ ฆ่าชาวพุทธ
แล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ทำให้พระและวัดได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ชาวพุทธทั้งหลาย ถูกไล่ล่าฆ่าฟัน
ถ้าไม่หนีเอาตัวรอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีรอให้ราชการมาแก้ปัญหา จนป่านนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ (ธันวาคม - ๒๕๔๙) !!
ยิ่งอำนาจรัฐในห้วงเวลานี้ไม่มีเหลือแล้ว ยิ่งหมดโอกาสแก้ดังนั้น วิธีหนึ่ง ที่จะต้องทำให้เห็น คือชี้ให้ดูว่า พวก
โจรปัตตานีเล่นงานวัดอย่างป่าเถื่อน ผมเอาภาพถ่ายหน้าวัดตันหลงมัสที่ถูกวางระเบิด มาให้ดูโดยที่ชาวพุทธไม่
เคยไปทำลายมัสยิดตอบโต้เลยคนพุทธไม่กล้าเพราะกลัวบาป
ผมไม่อยากเอาภาพโจรเผาวัด ฆ่าสับคอพระมาลง เพราะไม่ต้องการปลุกระดม !!
บทที่ ๑๖ โจรปัตตานีสร้างหนังสือปลุกระดม ถล่มรัฐบาล
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑
สิ่งหนึ่งที่คนไทยต้องยอมรับความจริงว่า ชาวปัตตานี และจังหวัดอื่น เช่นชาวยะลา นราธิวาส เป็นต้นผู้คนส่วน
ใหญ่ร้อยละ ๗๕ ถึง ๘๒ เปอร์เซ็นต์ มีเชื้อสายมลายู ซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยซึ่งเราได้ให้
ความรู้สึกว่าเป็นคนไทยด้วยกัน
ชาวไทยเชื้อสายมลายู มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนไทยทุกชนเผ่า
และเราต้องยอมรับความจริงอีกเช่นกันว่า ชาวไทยเชื้อสายมลายูได้เป็นกบฏด้วยความกล้าหาญมายาวนาน ไม่
หวั่นเกรงอาญา ไม่กลัวความตาย พวกเขาได้สืบทอดอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง เกาะติดเป็นพวงเดียวกัน ไม่
เคยปล่อยให้ว่างเว้นเลย
พวกเขาได้พัฒนาองค์ความรู้ อันมีทั้งยืนอยู่บนรากฐานที่เป็นจริง และการปั้นแต่งเสแสร้งแกล้งทำตลอดทั้งการ
สร้างมุมมองให้เกริกก้องขึ้นในโลกอิสลาม พวกเขาได้รับความสำเร็จ ในการอาศัยร่มเงาของศาสนาอิสลาม
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการแบ่งแยกดินแดน
หนังสือเล่มสำคัญยิ่งเล่มหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นชื่อว่า "รวมแสงแห่งสันติ" เขียนเป็นภาษามลายู แล้วแปลเป็นภาษา
ไทยเขียนโดย อามีน โต๊ะมีนาล ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑
หนังสือเล่มนี้ กล่าวหารัฐบาลร้อยแปดพันประการ พร้อมกับได้ยกย่องสรรเสริญนักรบชั้นแนวหน้าของเขาโดย
เฉพาะได้ยกย่อง "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ว่าเป็นยอดวีรบุรุษของชาวมลายูในประเทศไทย
ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ อามีน โต๊ะมีนาล ได้พิมพ์หนังสือใหม่อีกเล่มหนึ่ง ชื่อ "ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" หนังสือเล่ม
หลังนี้กล่าวว่าดินแดนแถบนี้ทั้งหมดเป็นของมลายูมาก่อน ดังนั้นทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในดินแดนนี้ ย่อมมีสิทธิถือ
สัญชาติมลายู
ใครให้พวกเขาถือสัญชาติไทยก็ถือไป แต่ในใจไม่ยอมรับการเป็นคนไทย
หนังสือทั้งสองเล่ม ได้ถูกตีพิมพ์แจกจ่ายไปตามหมู่บ้านครบทุกครัวเรือน บางครัวเรือนมีมากถึง ๓ - ๔ เล่ม
หลังจากนั้น ก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นในตำบลต่างๆ มีหัวหน้ารับผิดชอบ กระจายกันออกไป สร้างความสับสน
อลหม่าน ราชการไทยเข้าไม่ถึงหมู่บ้านมาตั้งแต่บัดนั้น
ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ปีเดียวกันกับหนังสือ"ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" ถูกตีพิมพ์ขึ้น แล้วแจกจ่ายชาวบ้านไปจนทั่ว เป็น
ปีที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ส่งคนงานชาวอีสานลงไปช่วยเหลือการกรีดยาง ปลูกต้นยาง พวกโจรปัตตานีจำเป็น
ต้องยอมรับคนงานจากอีสาน เพราะความที่ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน โจรปัตตานีเริ่ม
ปลุกระดมไปตามหมู่บ้าน กระทำการแข็งข้อให้รัฐบาลเห็นจะจะ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐบาลสืบทราบมาว่า โจรแบ่งแยกดินแดนจะก่อการร้ายขึ้น โดยจะยึดที่ทำการของรัฐบาลและ
สถานที่ราชการต่างๆ โดยจะยึดพร้อมกันใน ๔ จังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และจังหวัดสตูล รัฐบาล
จึงส่งกำลังลงไปจับกุมบุคคลต้องสงสัยได้จำนวนมาก แล้วเอาตัวขึ้นมาสอบสวนที่กรุงเทพฯ
รัฐบาลสอบสวนอยู่ไม่นานก็ปล่อยตัวทั้งหมด ก่อนปล่อยตัวกลับ ได้อบรมให้ความรู้และความเข้าใจ แล้ว "มอบ
เงิน" ให้คนละมากๆ ซึ่งก็รู้กันในหมู่โจรว่าเป็นการซื้อใจพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูมีข่าวว่าพวกโจรปัตตานีพา
กันหัวเราะงอหาย รับเงินด้วยความสนุกสนานบางคนยังได้รับเงินเป็นเดือนอีกต่างหาทางฝ่ายรัฐบาลสมัยนั้น
คงคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว โดยมีคำสั่งให้เก็บและทำลายหนังสือ ๒ เล่มที่ "อามีนโต๊ะมีนาล" เขียนขึ้น
รัฐบาลไม่รู้ดอกว่า หนังสือทั้งสองเล่มนั้น ไม่ต้องถือติดมืออีกแล้ว เพราะถ้อยคำทั้งหลายได้ถูกจานลงในหัวใจ
และกลายเป็นบทบัญญัติให้ปฏิบัติตาม พวกเขาจึงพากันทำลายตามคำสั่ง และการถูกสั่งให้ทำลายหนังสือทั้งสอง
เล่มดังกล่าว กลับยิ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังหนักยิ่งขึ้น
จึงกล่าวได้ว่า หนังสือปลุกระดมที่แกร่งกล้าที่สุดของโจรปัตตานี คือ หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้
สิ่งหนึ่งที่คนไทยต้องยอมรับความจริงว่า ชาวปัตตานี และจังหวัดอื่น เช่นชาวยะลา นราธิวาส เป็นต้นผู้คนส่วน
ใหญ่ร้อยละ ๗๕ ถึง ๘๒ เปอร์เซ็นต์ มีเชื้อสายมลายู ซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยซึ่งเราได้ให้
ความรู้สึกว่าเป็นคนไทยด้วยกัน
ชาวไทยเชื้อสายมลายู มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนไทยทุกชนเผ่า
และเราต้องยอมรับความจริงอีกเช่นกันว่า ชาวไทยเชื้อสายมลายูได้เป็นกบฏด้วยความกล้าหาญมายาวนาน ไม่
หวั่นเกรงอาญา ไม่กลัวความตาย พวกเขาได้สืบทอดอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง เกาะติดเป็นพวงเดียวกัน ไม่
เคยปล่อยให้ว่างเว้นเลย
พวกเขาได้พัฒนาองค์ความรู้ อันมีทั้งยืนอยู่บนรากฐานที่เป็นจริง และการปั้นแต่งเสแสร้งแกล้งทำตลอดทั้งการ
สร้างมุมมองให้เกริกก้องขึ้นในโลกอิสลาม พวกเขาได้รับความสำเร็จ ในการอาศัยร่มเงาของศาสนาอิสลาม
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการแบ่งแยกดินแดน
หนังสือเล่มสำคัญยิ่งเล่มหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นชื่อว่า "รวมแสงแห่งสันติ" เขียนเป็นภาษามลายู แล้วแปลเป็นภาษา
ไทยเขียนโดย อามีน โต๊ะมีนาล ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑
หนังสือเล่มนี้ กล่าวหารัฐบาลร้อยแปดพันประการ พร้อมกับได้ยกย่องสรรเสริญนักรบชั้นแนวหน้าของเขาโดย
เฉพาะได้ยกย่อง "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ว่าเป็นยอดวีรบุรุษของชาวมลายูในประเทศไทย
ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ อามีน โต๊ะมีนาล ได้พิมพ์หนังสือใหม่อีกเล่มหนึ่ง ชื่อ "ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" หนังสือเล่ม
หลังนี้กล่าวว่าดินแดนแถบนี้ทั้งหมดเป็นของมลายูมาก่อน ดังนั้นทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในดินแดนนี้ ย่อมมีสิทธิถือ
สัญชาติมลายู
ใครให้พวกเขาถือสัญชาติไทยก็ถือไป แต่ในใจไม่ยอมรับการเป็นคนไทย
หนังสือทั้งสองเล่ม ได้ถูกตีพิมพ์แจกจ่ายไปตามหมู่บ้านครบทุกครัวเรือน บางครัวเรือนมีมากถึง ๓ - ๔ เล่ม
หลังจากนั้น ก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นในตำบลต่างๆ มีหัวหน้ารับผิดชอบ กระจายกันออกไป สร้างความสับสน
อลหม่าน ราชการไทยเข้าไม่ถึงหมู่บ้านมาตั้งแต่บัดนั้น
ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ปีเดียวกันกับหนังสือ"ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" ถูกตีพิมพ์ขึ้น แล้วแจกจ่ายชาวบ้านไปจนทั่ว เป็น
ปีที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ส่งคนงานชาวอีสานลงไปช่วยเหลือการกรีดยาง ปลูกต้นยาง พวกโจรปัตตานีจำเป็น
ต้องยอมรับคนงานจากอีสาน เพราะความที่ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน โจรปัตตานีเริ่ม
ปลุกระดมไปตามหมู่บ้าน กระทำการแข็งข้อให้รัฐบาลเห็นจะจะ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐบาลสืบทราบมาว่า โจรแบ่งแยกดินแดนจะก่อการร้ายขึ้น โดยจะยึดที่ทำการของรัฐบาลและ
สถานที่ราชการต่างๆ โดยจะยึดพร้อมกันใน ๔ จังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และจังหวัดสตูล รัฐบาล
จึงส่งกำลังลงไปจับกุมบุคคลต้องสงสัยได้จำนวนมาก แล้วเอาตัวขึ้นมาสอบสวนที่กรุงเทพฯ
รัฐบาลสอบสวนอยู่ไม่นานก็ปล่อยตัวทั้งหมด ก่อนปล่อยตัวกลับ ได้อบรมให้ความรู้และความเข้าใจ แล้ว "มอบ
เงิน" ให้คนละมากๆ ซึ่งก็รู้กันในหมู่โจรว่าเป็นการซื้อใจพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูมีข่าวว่าพวกโจรปัตตานีพา
กันหัวเราะงอหาย รับเงินด้วยความสนุกสนานบางคนยังได้รับเงินเป็นเดือนอีกต่างหาทางฝ่ายรัฐบาลสมัยนั้น
คงคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว โดยมีคำสั่งให้เก็บและทำลายหนังสือ ๒ เล่มที่ "อามีนโต๊ะมีนาล" เขียนขึ้น
รัฐบาลไม่รู้ดอกว่า หนังสือทั้งสองเล่มนั้น ไม่ต้องถือติดมืออีกแล้ว เพราะถ้อยคำทั้งหลายได้ถูกจานลงในหัวใจ
และกลายเป็นบทบัญญัติให้ปฏิบัติตาม พวกเขาจึงพากันทำลายตามคำสั่ง และการถูกสั่งให้ทำลายหนังสือทั้งสอง
เล่มดังกล่าว กลับยิ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังหนักยิ่งขึ้น
จึงกล่าวได้ว่า หนังสือปลุกระดมที่แกร่งกล้าที่สุดของโจรปัตตานี คือ หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้
บทที่ ๑๕ คลำหาความ...ผิดพลาดของรัฐบาล
การปกครองประเทศของประเทศไทยในยุคโบราณ ใช้วิธีการพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นใหญ่เด็ดขาดสมบูรณ์
ครอบคลุมทุกระบบ จึงเรียกว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ทรงจัดตั้งวิธีการ
บริหารประเทศชาติเอาไว้ บน ๓ สถาบัน
๑. สถาบันชาติ อันหมายถึงประชาชน และแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล
๒. สถาบันศาสนา อันหมายถึงพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศสยามหรือประเทศไทย ล้วน
อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
๓. สถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงระบอบกษัตริย์ หรือพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขสูงสุด สืบต่อสันตติวงศ์
โดยระบบรัชทายาท ไม่มีการเลือกตั้งไม่ว่ากรณีใดๆ พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ได้ทำนุบำรุงประเทศชาติด้วย
ความยิ่งใหญ่ ไม่เกรงกลัวอำนาจใคร เมื่อได้ปกครองประเทศแล้ว ก็ได้ใช้สติปัญญาความสามารถ สร้างบ้าน
แปงเมือง รับเอางานของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ มาเป็นภาระสืบทอด ทำให้การดูแลประเทศชาติทั้ง ๓
สถาบัน เป็นไปอย่างเข้มแข็ง แต่ก็เป็นการเข้มแข็งแบบไทย ไม่มีความเจริญหวือหวาเหมือนพวกตะวันตก
ภาระของพระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณคือการรักษาดินแดนที่ได้มา
รักษาราษฎร พสกนิกร ให้มีความปลอดภัย รักษาความเป็น "ชนชาติไทย" เอาไว้สุดความสามารถ แล้ว
จัดการปกครอง ทำนุบำรุงพระศาสนา ทำการก่อสร้างวัด สร้างวิหาร เพื่อความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
สร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศชาติ พัฒนาระเบียบแบบแผนให้ทันกับเหตุการณ์ ดูแลเอาใจใส่ไม่เอาแต่เสวย
สุขส่วนตัว กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวง ปกครองแผ่นดินด้วยความชอบธรรม และเป็นธรรม
มาโดยตลอด
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยปรากฏเรื่องราวชั่วร้ายว่าจะมีกษัตริย์พระองค์ใดกดขี่ข่มเหง ประชาชน มหา
กษัตริย์ไทยมีพระหฤทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถือทศพิธราชธรรมเป็นหลัก สรุปโดยย่อ ประเทศไทยหรือประเทศสยาม
ในยุคพระเจ้าแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้บริหารประเทศภายใต้หลักการ ๓ สถาบัน
อย่างเข้มแข็งตลอดมา
ถ้าจะนับอายุของความเข้มแข็งให้เห็นเป็นรูปธรรม ก็คือนับเอาปี พ.ศ. เป็นตัวแม่บท ซึ่งหมายถึงระบอบ
กษัตริย์ไทย ครองความถูกต้อง ด้วยความเข้มแข็งยาวนานถึง ๒,๔๗๕ ปี
นับแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เมื่อคณะราษฎร์ได้ปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ ...ความไม่ถูกต้องได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับความเข้มแข็งเริ่มอ่อนแอลง โดยเฉพาะ คือ ความไม่
เข้มแข็ง ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
คณะราษฎร์ ได้อำนาจมาจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยเอาพระเจ้าแผ่นดินลงจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาอยู่
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ถือเป็นความผิด ตรงกันข้าม จะยกให้เป็นคุณแก่แผ่น
ดินย่อมได้ เพราะโลกถึงยุคที่จะได้บริหารโดยคนหมู่มากที่มีสติปัญญา ซึ่งคนไทยก็ได้มีสติปัญญาอย่างพอเพียงที่จะ
รับผิดชอบประเทศของตน
แต่คณะราษฎร์ ที่ว่ามีสติปัญญาอย่างพอเพียงนั้น พากันเอาแต่อำนาจจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยไม่ได้รับเอา "
ความรับผิดชอบ" มาด้วย พวกคณะราษฎร์ยังมาเสียเวลากับการยื้อแย่งอำนาจกันเองอย่างยาวนาน มีปฏิวัติ
รัฐประหารมากครั้งหลายหน บางครั้งเอาระเบิดถล่มใส่กัน ไล่ฆ่าซึ้งกันและกัน วางแผนหักหลังกัน ร้ายไปกว่า
นั้น ได้ลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ใครเป็นคนทำไม่มีใครรู้ความ
จริง แต่ก็ปล่อยข่าวชั่วร้าย เกินกว่าจะรับฟังได้
คนไหนได้รับฟัง ก็วินิจฉัยเอาเองว่า ร. ๘ ถูกลอบฆ่า ไม่ใช่ฝีมือของคณะราษฎร์
ความเลวร้ายได้เกิดขึ้นอย่างฮึกโหม ประเทศไทยแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกหัวหน้าใหญ่ของคณะราษฎร์ ทอด
ทิ้งความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง โดยพากันวางตัวเป็นกลางอ้างว่าประเทศไทยมีหลายศาสนา
แต่ละศาสนาล้วนแต่สอนให้เป็นคนดี
ความที่พวกคณะราษฎร์ ได้พากันเป็นเช่นนั้น ได้ส่งต่อแนวความคิดไปสู่นักการเมืองรุ่นต่อมา ที่สืบทอดลัทธิ
ประชาธิปไตย พวกนักการเมืองทั้งหลาย กลายเป็นผู้รับเอาภาระทางการเมืองมาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้ทำ
ให้เกิด "การกระทำ" ต่อพระพุทธศาสนาหลายอย่างหลายวิธีการ ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของ
ประเทศทั้งสิ้น
ข้อแรกเลย ไม่รับเอาภาระของพระเจ้าแผ่นดินที่สำคัญต่างๆ มาปฏิบัติต่อ นักการเมืองคนสำคัญของชาติขาด
การเอาใจใส่ต่อพระพุทธศาสนา นำพาเอาลัทธิประเพณีประเทศอื่นมาปฏิบัติ ตัวเองไม่เข้าวัด ไม่รู้วิธีการฟัง
ธรรม ไม่ให้เวลาแก่วัดอย่างเหมาะสม ถ้าพวกเขาจะพากันไปวัด ก็จัดคนต้อนรับเอิกเกริก ประชาชนแห่ล้อม
หน้าล้อมหลัง หลวงพ่อกลายเป็นประหนึ่ง "หัวคะแนน" ทำให้ศาสนาอื่นดูหมิ่นดูแคลนพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็น
พระศาสนาหลักของชาติผู้บริหารประเทศทุกระดับ ไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชน
ข้อต่อมา ตัวจักรสำคัญที่เป็นประหนึ่ง "ตัวแทน" ขององค์ พระมหากษัตริย์ ที่สมควรได้แสดงออกว่า เป็นผู้
เคร่งในพระพุทธศาสนา เฉกเช่น พระมหากษัตริย์ ไม่ปรากฏว่าจะมีใครรับเอามาทำ มีแต่สนุกสนานสำราญอยู่
กับความมั่งคั่งร่ำรวย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมีหลายคน แต่ละคนมีพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นเนื้อในของ
หัวใจว่า ไม่ได้มีความหนักแน่นในพระพุทธศาสนา
นายกรัฐมนตรีหลายคนแทบว่าไม่เคยสมาทานศีล
ไม่เอาใจใส่ในการขยายพุทธจักรให้ยิ่งใหญ่
มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม คนเดียวเท่านั้น ที่สร้างพุทธมณฑล แต่จอมพล ป. ก็ยังคง
"ขาดแหว่ง" ในเรื่องความมั่นคงของพุทธศาสนาอยู่ดี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นับว่าขาดแหว่งเรื่องความมั่นคงของพระพุทธศาสนา แต่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ยิ่ง
ขาดแหว่งยิ่งกว่า จนแทบกล่าวได้ว่า นายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้น ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้รักษาความมั่นคงให้แก่
พระศาสนาของตน
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จึงกลายเป็นผู้ทำลาย ความมั่นคงของประเทศชาติ โดยไม่รู้ตัว แล้วกลายเป็น
เชื้อให้นักการเมืองอื่นๆ ในประเทศ พลอยเห็นดีเห็นงาม ทำตัวเยี่ยงนายกฯตามไปด้วย เป็นผลก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ประเทศชาติและสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง
ภาพชนชั้นผู้นำทางการเมืองห่างเหินวัด ห่างเหินพระธรรมปรากฏออกมาชัดมาก
ด้วยความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนามีสภาพไม่แตกต่างถูกภาครัฐลอยแพ พระพุทธศาสนาตั้ง
อยู่ได้ เพราะประชาชนอุปถัมภ์แต่เพียงฝ่ายเดียว พระภิกษุสามเณรส่วนมากด้อยและขาดการศึกษาสู้คนใน
ศาสนาอื่นไม่ได้
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ ทรงพระราชทานให้ คือ พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สร้างมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามงกุฎฯ ที่วัดบวร
นิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ ไม่มีการพัฒนา จะขอทุนก่อสร้างแต่ละครั้ง รัฐบาลไม่กล้าให้
เกรงคนศาสนาอื่นจะค่อนแคะ
นักการเมืองไทยที่มีสติปัญญาต่ำต้อย ขาดความรู้ความเข้าใจ คิดว่าตัวเองฉลาด ที่สามารถระงับยับยั้งการ
พัฒนามหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ แทนที่จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กลับกลายเป็นการบ่อนทำลาย "รากเหง้า"
ของสังคมไทยให้ค่อยๆอับเฉาลง
แต่ยังโชคดีที่ประชาชนชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนาร้อยละ ๙๔.๓ พากันอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็งและ
อดทน จึงทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง
มหาวิทยาลัยสงฆ์เจริญได้ส่วนใหญ่อาศัยเงินบริจาค เงินของรัฐมีให้เล็กน้อย
รัฐบาลไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่า พระเณรที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็คือทรัพยากรของชาติ รัฐบาลกลับคิดไป
ในทางลบว่า ถ้าส่งเสริมพระเณรจะทำให้ศาสนาอื่นไม่พอใจ
สิ่งที่นักการเมืองพากันทำ โดยเฉพาะนักการเมืองที่เป็นชาวพุทธโดยสายเลือด นักการเมืองเขาไม่รู้ดอกว่า
ศาสนาคริสต์มีทุนมหาศาลจากสำนักวาติกันคอยเกื้อ หนุน นักการเมืองไม่รู้ดอกว่า ศาสนาอิสลามมีทุนมหาศาล
จากประเทศเศรษฐีน้ำมัน คอยให้การเกื้อหนุน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้ทุ่มเงินลงไปทุกครั้งที่เขาขอมา
มัสยิดกลางปัตตานี ก็เป็นงบประมาณของรัฐ สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์
อาการแบบนี้ นักการเมือง "คิดเอาเอง" ว่าการแสดงออกถึงการปล่อยวาง ไม่เข้าข้างพระพุทธศาสนา มัน
คือการสร้างความสมานฉันท์
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองคิดเอาเองอีกว่า "คิดเพียงแต่ว่า การรักษาฐานเสียงของตน" ย่อมสำคัญกว่า
จึงแสดงจุดยืน เชียร์ศาสนาอื่นมากกว่าพระศาสนาของตน โดยลืมไปว่า ถึงเวลารับสมัครเลือกตั้งจริงๆ
นักการเมืองของชาวพุทธ ในพื้นที่ศาสนาอื่น อย่าหวังเลยว่าจะได้รับชัยชนะ แต่ในเวลาเดียวกัน นักการเมือง
ของศาสนาอื่น กลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น จากพื้นที่ของพุทธบริษัท ตัวอย่างเช่น จังหวัดทางภาคอีสาน
จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวพุทธเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าผู้สมัครหญิง ลูกสาวเจ้าพ่อโรงฆ่าสัตว์
ชื่อและนามสกุลบอกอย่างโทนว่า นับถือศาสนาอื่น ได้รับชัยชนะเป็น ส.ส. เดินเข้าสภาลอยลำไปเลย ทิ้งห่าง
ผู้สมัครพุทธให้สอบตกไม่เป็นท่า...โดยชาวพุทธไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง ให้ ทั้งที่เป็นพุทธด้วยกัน
นับแต่ ส.ส.หญิงท่านนั้นเข้าสภา ไม่เคยปรากฏกายในวัดให้เห็น ไม่ไปร่วมงานบุญประเพณี ครั้นชาวบ้านถาม
ว่าเพราะเหตุไร เธอตอบว่า "ไปไม่ได้...มันเป็นบาป" ท่านเจ้าอาวาสที่เป็นฝ่ายหัวคะแนนสนับสนุน เธอ
บอกว่าไม่เป็นไร คนเรานับถือไม่เหมือนกัน
แต่ในเวลาเดียวกันท่านสมภาร กลับพูดว่านักการเมืองทอดทิ้งวัดไปหมด
นี้คือภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดว่า นักการเมืองไทยที่รับอุดมการณ์สืบทอดมาจากคณะราษฎร์ ได้ปฏิบัติตัวเป็นคนทำ
ร้ายประเทศของตนเอง พากันทึกทักเอาเองว่า การวางตัวเป็นกลาง ได้สร้างอนาคตทางการเมือง ได้เป็น
ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สายสะพายขึ้นบ่า
เป็นนะเป็นได้ แต่ในที่สุด แผ่นดินนี้ได้ถูกคนชาติอื่น เข้ามาอยู่ในประเทศไทย แล้วไม่ยอมเป็นคนไทย ได้ใช้วิธี
สกปรก เอาศาสนาอื่นขึ้นมาเป็นฐานทึ่ตั้งของกองทัพปฏิวัติ แล้วแจกจ่ายอาวุธสู้กับตำรวจและทหาร ไม่เกรง
กลัวความผิดฐานกบฏนักการเมืองพุทธเห็นแล้ว ทำอะไรเขาได้ ห้ามเขาได้ไหม
ตรงกันข้าม ยังพากัน "งมมะหรา" หลงทางอยู่กับการแก้ไข โดยอาศัยความเข้าใจว่า การรักษาความเป็น
กลางแบบผิดๆ จะช่วยให้ประเทศไทยแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
ดังนั้น เมื่อคลำหาความผิดพลาดของรัฐบาลให้ตรงประเด็นแล้ว เราได้พบความเข้าใจผิดของนักการเมือง อัน
เป็นเหตุและปัจจัยหลัก ก่อความเสียหายแก่ประเทศทั้งประเทศยากที่จะแก้ไข วิธีที่จะแก้ไขได้ให้ ๓ จังหวัด
กลับคืนสู่ความปกติสุข ยิ่งนานวันยิ่งห่างออกไปทุกที
ถ้าเราต้องจัดการให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปตามความต้องการของโจรปัตตานี
คนที่ชื่อว่าเป็นคนขายชาติที่แท้จริง คือ นักการเมืองทั้งหลาย
ทั้งนี้เนื่องจากราษฎรทั้งหลาย ไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมแก้ไขปัญหาเลย
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองพากันแสดงตนเป็นคนนำทางความคิด นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน
ให้หลงทาง ประเทศชาติถูกโจรกล่าวหาอะไรออกมา ก็ไม่มีปัญญากล่าวแก้ เช่น โจรกล่าวหาว่า ประเทศไทย
ยึดเอาปัตตานีเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่เคยกล่าวแก้
ถ้าจะกล่าวแก้ ก็สามารถพูดให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้ โดยยกเอาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปัตตานีเป็นดินแดน
ของไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอินทิรา พ.ศ. ๒๐๒๒ เริ่มเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลาม
ปัตตานีเป็นดินแดนของไทยยาวนานติดต่อกัน ไม่เคยมีชื่อว่าเป็นดินแดนของมลายูมาก่อนเลย แต่เหตุที่ปัตตานีมี
คนไทยเชื้อสายมลายู ล้วนแต่เกิดจากการอพยพเข้ามาของคนเชื้อสายมลายูทั้งสิ้น เมื่ออพยพเข้ามาแล้ว ก็
เกาะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ภายใต้การนำของผู้นำทางศาสนา ทำให้คนเชื้อสายมลายูเผ่านี้ ได้ครองความเป็น "
เจ้าถิ่น" แตกต่างไปจากคนไทยเผ่าอื่น สถานะของคนไทยเชื้อสายมลายู จึงพากันยกเมฆกันเองว่าถูก
ประเทศไทยปกครอง
ถ้าเราแก้ข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยเอาประวัติศาสตร์มาเป็นตัวยืนยัน
เราจะหลุดจากข้อกล่าวหา
แต่ "นักการเมืองไทย" ไม่กล้าทำ เพราะเกรงจะเกิดความเสียหายแก่คะแนนเสียงของตนเอง จึงใช้วิธีเอา
หูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่เอาใจใส่ศาสนาของตน ปล่อยให้เชื้อสายมลายูเล่นงานเอาไม่หยุดหย่อน เขาเล่นงาน
ถึงขั้นฆ่า...เผาบ้าน เผาโรงเรียนก็ยังปล่อยให้เขาเล่นงานด้วยความอดกลั้น แล้วก็อ้างว่าเป็นการรักษา
สมานฉันท์ คนที่ชักชวนให้สมานฉันท์อย่างผิดๆ คือ "นายอานันท์ ปันยารชุน" อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัยของไทย
เมื่อคลำเป้าอย่างนี้แล้วจะเห็นความผิดพลาดชัดเจนยิ่งนัก
ครอบคลุมทุกระบบ จึงเรียกว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ทรงจัดตั้งวิธีการ
บริหารประเทศชาติเอาไว้ บน ๓ สถาบัน
๑. สถาบันชาติ อันหมายถึงประชาชน และแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล
๒. สถาบันศาสนา อันหมายถึงพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศสยามหรือประเทศไทย ล้วน
อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
๓. สถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงระบอบกษัตริย์ หรือพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขสูงสุด สืบต่อสันตติวงศ์
โดยระบบรัชทายาท ไม่มีการเลือกตั้งไม่ว่ากรณีใดๆ พระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ได้ทำนุบำรุงประเทศชาติด้วย
ความยิ่งใหญ่ ไม่เกรงกลัวอำนาจใคร เมื่อได้ปกครองประเทศแล้ว ก็ได้ใช้สติปัญญาความสามารถ สร้างบ้าน
แปงเมือง รับเอางานของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ มาเป็นภาระสืบทอด ทำให้การดูแลประเทศชาติทั้ง ๓
สถาบัน เป็นไปอย่างเข้มแข็ง แต่ก็เป็นการเข้มแข็งแบบไทย ไม่มีความเจริญหวือหวาเหมือนพวกตะวันตก
ภาระของพระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณคือการรักษาดินแดนที่ได้มา
รักษาราษฎร พสกนิกร ให้มีความปลอดภัย รักษาความเป็น "ชนชาติไทย" เอาไว้สุดความสามารถ แล้ว
จัดการปกครอง ทำนุบำรุงพระศาสนา ทำการก่อสร้างวัด สร้างวิหาร เพื่อความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
สร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศชาติ พัฒนาระเบียบแบบแผนให้ทันกับเหตุการณ์ ดูแลเอาใจใส่ไม่เอาแต่เสวย
สุขส่วนตัว กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวง ปกครองแผ่นดินด้วยความชอบธรรม และเป็นธรรม
มาโดยตลอด
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยปรากฏเรื่องราวชั่วร้ายว่าจะมีกษัตริย์พระองค์ใดกดขี่ข่มเหง ประชาชน มหา
กษัตริย์ไทยมีพระหฤทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถือทศพิธราชธรรมเป็นหลัก สรุปโดยย่อ ประเทศไทยหรือประเทศสยาม
ในยุคพระเจ้าแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้บริหารประเทศภายใต้หลักการ ๓ สถาบัน
อย่างเข้มแข็งตลอดมา
ถ้าจะนับอายุของความเข้มแข็งให้เห็นเป็นรูปธรรม ก็คือนับเอาปี พ.ศ. เป็นตัวแม่บท ซึ่งหมายถึงระบอบ
กษัตริย์ไทย ครองความถูกต้อง ด้วยความเข้มแข็งยาวนานถึง ๒,๔๗๕ ปี
นับแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เมื่อคณะราษฎร์ได้ปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ ...ความไม่ถูกต้องได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับความเข้มแข็งเริ่มอ่อนแอลง โดยเฉพาะ คือ ความไม่
เข้มแข็ง ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
คณะราษฎร์ ได้อำนาจมาจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยเอาพระเจ้าแผ่นดินลงจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาอยู่
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ถือเป็นความผิด ตรงกันข้าม จะยกให้เป็นคุณแก่แผ่น
ดินย่อมได้ เพราะโลกถึงยุคที่จะได้บริหารโดยคนหมู่มากที่มีสติปัญญา ซึ่งคนไทยก็ได้มีสติปัญญาอย่างพอเพียงที่จะ
รับผิดชอบประเทศของตน
แต่คณะราษฎร์ ที่ว่ามีสติปัญญาอย่างพอเพียงนั้น พากันเอาแต่อำนาจจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยไม่ได้รับเอา "
ความรับผิดชอบ" มาด้วย พวกคณะราษฎร์ยังมาเสียเวลากับการยื้อแย่งอำนาจกันเองอย่างยาวนาน มีปฏิวัติ
รัฐประหารมากครั้งหลายหน บางครั้งเอาระเบิดถล่มใส่กัน ไล่ฆ่าซึ้งกันและกัน วางแผนหักหลังกัน ร้ายไปกว่า
นั้น ได้ลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ใครเป็นคนทำไม่มีใครรู้ความ
จริง แต่ก็ปล่อยข่าวชั่วร้าย เกินกว่าจะรับฟังได้
คนไหนได้รับฟัง ก็วินิจฉัยเอาเองว่า ร. ๘ ถูกลอบฆ่า ไม่ใช่ฝีมือของคณะราษฎร์
ความเลวร้ายได้เกิดขึ้นอย่างฮึกโหม ประเทศไทยแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกหัวหน้าใหญ่ของคณะราษฎร์ ทอด
ทิ้งความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง โดยพากันวางตัวเป็นกลางอ้างว่าประเทศไทยมีหลายศาสนา
แต่ละศาสนาล้วนแต่สอนให้เป็นคนดี
ความที่พวกคณะราษฎร์ ได้พากันเป็นเช่นนั้น ได้ส่งต่อแนวความคิดไปสู่นักการเมืองรุ่นต่อมา ที่สืบทอดลัทธิ
ประชาธิปไตย พวกนักการเมืองทั้งหลาย กลายเป็นผู้รับเอาภาระทางการเมืองมาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้ทำ
ให้เกิด "การกระทำ" ต่อพระพุทธศาสนาหลายอย่างหลายวิธีการ ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของ
ประเทศทั้งสิ้น
ข้อแรกเลย ไม่รับเอาภาระของพระเจ้าแผ่นดินที่สำคัญต่างๆ มาปฏิบัติต่อ นักการเมืองคนสำคัญของชาติขาด
การเอาใจใส่ต่อพระพุทธศาสนา นำพาเอาลัทธิประเพณีประเทศอื่นมาปฏิบัติ ตัวเองไม่เข้าวัด ไม่รู้วิธีการฟัง
ธรรม ไม่ให้เวลาแก่วัดอย่างเหมาะสม ถ้าพวกเขาจะพากันไปวัด ก็จัดคนต้อนรับเอิกเกริก ประชาชนแห่ล้อม
หน้าล้อมหลัง หลวงพ่อกลายเป็นประหนึ่ง "หัวคะแนน" ทำให้ศาสนาอื่นดูหมิ่นดูแคลนพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็น
พระศาสนาหลักของชาติผู้บริหารประเทศทุกระดับ ไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชน
ข้อต่อมา ตัวจักรสำคัญที่เป็นประหนึ่ง "ตัวแทน" ขององค์ พระมหากษัตริย์ ที่สมควรได้แสดงออกว่า เป็นผู้
เคร่งในพระพุทธศาสนา เฉกเช่น พระมหากษัตริย์ ไม่ปรากฏว่าจะมีใครรับเอามาทำ มีแต่สนุกสนานสำราญอยู่
กับความมั่งคั่งร่ำรวย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมีหลายคน แต่ละคนมีพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นเนื้อในของ
หัวใจว่า ไม่ได้มีความหนักแน่นในพระพุทธศาสนา
นายกรัฐมนตรีหลายคนแทบว่าไม่เคยสมาทานศีล
ไม่เอาใจใส่ในการขยายพุทธจักรให้ยิ่งใหญ่
มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม คนเดียวเท่านั้น ที่สร้างพุทธมณฑล แต่จอมพล ป. ก็ยังคง
"ขาดแหว่ง" ในเรื่องความมั่นคงของพุทธศาสนาอยู่ดี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นับว่าขาดแหว่งเรื่องความมั่นคงของพระพุทธศาสนา แต่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ยิ่ง
ขาดแหว่งยิ่งกว่า จนแทบกล่าวได้ว่า นายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้น ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้รักษาความมั่นคงให้แก่
พระศาสนาของตน
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จึงกลายเป็นผู้ทำลาย ความมั่นคงของประเทศชาติ โดยไม่รู้ตัว แล้วกลายเป็น
เชื้อให้นักการเมืองอื่นๆ ในประเทศ พลอยเห็นดีเห็นงาม ทำตัวเยี่ยงนายกฯตามไปด้วย เป็นผลก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ประเทศชาติและสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง
ภาพชนชั้นผู้นำทางการเมืองห่างเหินวัด ห่างเหินพระธรรมปรากฏออกมาชัดมาก
ด้วยความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนามีสภาพไม่แตกต่างถูกภาครัฐลอยแพ พระพุทธศาสนาตั้ง
อยู่ได้ เพราะประชาชนอุปถัมภ์แต่เพียงฝ่ายเดียว พระภิกษุสามเณรส่วนมากด้อยและขาดการศึกษาสู้คนใน
ศาสนาอื่นไม่ได้
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ ทรงพระราชทานให้ คือ พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สร้างมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามงกุฎฯ ที่วัดบวร
นิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ ไม่มีการพัฒนา จะขอทุนก่อสร้างแต่ละครั้ง รัฐบาลไม่กล้าให้
เกรงคนศาสนาอื่นจะค่อนแคะ
นักการเมืองไทยที่มีสติปัญญาต่ำต้อย ขาดความรู้ความเข้าใจ คิดว่าตัวเองฉลาด ที่สามารถระงับยับยั้งการ
พัฒนามหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ แทนที่จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กลับกลายเป็นการบ่อนทำลาย "รากเหง้า"
ของสังคมไทยให้ค่อยๆอับเฉาลง
แต่ยังโชคดีที่ประชาชนชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนาร้อยละ ๙๔.๓ พากันอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็งและ
อดทน จึงทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง
มหาวิทยาลัยสงฆ์เจริญได้ส่วนใหญ่อาศัยเงินบริจาค เงินของรัฐมีให้เล็กน้อย
รัฐบาลไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่า พระเณรที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็คือทรัพยากรของชาติ รัฐบาลกลับคิดไป
ในทางลบว่า ถ้าส่งเสริมพระเณรจะทำให้ศาสนาอื่นไม่พอใจ
สิ่งที่นักการเมืองพากันทำ โดยเฉพาะนักการเมืองที่เป็นชาวพุทธโดยสายเลือด นักการเมืองเขาไม่รู้ดอกว่า
ศาสนาคริสต์มีทุนมหาศาลจากสำนักวาติกันคอยเกื้อ หนุน นักการเมืองไม่รู้ดอกว่า ศาสนาอิสลามมีทุนมหาศาล
จากประเทศเศรษฐีน้ำมัน คอยให้การเกื้อหนุน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้ทุ่มเงินลงไปทุกครั้งที่เขาขอมา
มัสยิดกลางปัตตานี ก็เป็นงบประมาณของรัฐ สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์
อาการแบบนี้ นักการเมือง "คิดเอาเอง" ว่าการแสดงออกถึงการปล่อยวาง ไม่เข้าข้างพระพุทธศาสนา มัน
คือการสร้างความสมานฉันท์
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองคิดเอาเองอีกว่า "คิดเพียงแต่ว่า การรักษาฐานเสียงของตน" ย่อมสำคัญกว่า
จึงแสดงจุดยืน เชียร์ศาสนาอื่นมากกว่าพระศาสนาของตน โดยลืมไปว่า ถึงเวลารับสมัครเลือกตั้งจริงๆ
นักการเมืองของชาวพุทธ ในพื้นที่ศาสนาอื่น อย่าหวังเลยว่าจะได้รับชัยชนะ แต่ในเวลาเดียวกัน นักการเมือง
ของศาสนาอื่น กลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น จากพื้นที่ของพุทธบริษัท ตัวอย่างเช่น จังหวัดทางภาคอีสาน
จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวพุทธเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าผู้สมัครหญิง ลูกสาวเจ้าพ่อโรงฆ่าสัตว์
ชื่อและนามสกุลบอกอย่างโทนว่า นับถือศาสนาอื่น ได้รับชัยชนะเป็น ส.ส. เดินเข้าสภาลอยลำไปเลย ทิ้งห่าง
ผู้สมัครพุทธให้สอบตกไม่เป็นท่า...โดยชาวพุทธไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง ให้ ทั้งที่เป็นพุทธด้วยกัน
นับแต่ ส.ส.หญิงท่านนั้นเข้าสภา ไม่เคยปรากฏกายในวัดให้เห็น ไม่ไปร่วมงานบุญประเพณี ครั้นชาวบ้านถาม
ว่าเพราะเหตุไร เธอตอบว่า "ไปไม่ได้...มันเป็นบาป" ท่านเจ้าอาวาสที่เป็นฝ่ายหัวคะแนนสนับสนุน เธอ
บอกว่าไม่เป็นไร คนเรานับถือไม่เหมือนกัน
แต่ในเวลาเดียวกันท่านสมภาร กลับพูดว่านักการเมืองทอดทิ้งวัดไปหมด
นี้คือภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดว่า นักการเมืองไทยที่รับอุดมการณ์สืบทอดมาจากคณะราษฎร์ ได้ปฏิบัติตัวเป็นคนทำ
ร้ายประเทศของตนเอง พากันทึกทักเอาเองว่า การวางตัวเป็นกลาง ได้สร้างอนาคตทางการเมือง ได้เป็น
ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สายสะพายขึ้นบ่า
เป็นนะเป็นได้ แต่ในที่สุด แผ่นดินนี้ได้ถูกคนชาติอื่น เข้ามาอยู่ในประเทศไทย แล้วไม่ยอมเป็นคนไทย ได้ใช้วิธี
สกปรก เอาศาสนาอื่นขึ้นมาเป็นฐานทึ่ตั้งของกองทัพปฏิวัติ แล้วแจกจ่ายอาวุธสู้กับตำรวจและทหาร ไม่เกรง
กลัวความผิดฐานกบฏนักการเมืองพุทธเห็นแล้ว ทำอะไรเขาได้ ห้ามเขาได้ไหม
ตรงกันข้าม ยังพากัน "งมมะหรา" หลงทางอยู่กับการแก้ไข โดยอาศัยความเข้าใจว่า การรักษาความเป็น
กลางแบบผิดๆ จะช่วยให้ประเทศไทยแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
ดังนั้น เมื่อคลำหาความผิดพลาดของรัฐบาลให้ตรงประเด็นแล้ว เราได้พบความเข้าใจผิดของนักการเมือง อัน
เป็นเหตุและปัจจัยหลัก ก่อความเสียหายแก่ประเทศทั้งประเทศยากที่จะแก้ไข วิธีที่จะแก้ไขได้ให้ ๓ จังหวัด
กลับคืนสู่ความปกติสุข ยิ่งนานวันยิ่งห่างออกไปทุกที
ถ้าเราต้องจัดการให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปตามความต้องการของโจรปัตตานี
คนที่ชื่อว่าเป็นคนขายชาติที่แท้จริง คือ นักการเมืองทั้งหลาย
ทั้งนี้เนื่องจากราษฎรทั้งหลาย ไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมแก้ไขปัญหาเลย
อีกประการหนึ่ง นักการเมืองพากันแสดงตนเป็นคนนำทางความคิด นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน
ให้หลงทาง ประเทศชาติถูกโจรกล่าวหาอะไรออกมา ก็ไม่มีปัญญากล่าวแก้ เช่น โจรกล่าวหาว่า ประเทศไทย
ยึดเอาปัตตานีเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่เคยกล่าวแก้
ถ้าจะกล่าวแก้ ก็สามารถพูดให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้ โดยยกเอาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปัตตานีเป็นดินแดน
ของไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอินทิรา พ.ศ. ๒๐๒๒ เริ่มเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลาม
ปัตตานีเป็นดินแดนของไทยยาวนานติดต่อกัน ไม่เคยมีชื่อว่าเป็นดินแดนของมลายูมาก่อนเลย แต่เหตุที่ปัตตานีมี
คนไทยเชื้อสายมลายู ล้วนแต่เกิดจากการอพยพเข้ามาของคนเชื้อสายมลายูทั้งสิ้น เมื่ออพยพเข้ามาแล้ว ก็
เกาะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ภายใต้การนำของผู้นำทางศาสนา ทำให้คนเชื้อสายมลายูเผ่านี้ ได้ครองความเป็น "
เจ้าถิ่น" แตกต่างไปจากคนไทยเผ่าอื่น สถานะของคนไทยเชื้อสายมลายู จึงพากันยกเมฆกันเองว่าถูก
ประเทศไทยปกครอง
ถ้าเราแก้ข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยเอาประวัติศาสตร์มาเป็นตัวยืนยัน
เราจะหลุดจากข้อกล่าวหา
แต่ "นักการเมืองไทย" ไม่กล้าทำ เพราะเกรงจะเกิดความเสียหายแก่คะแนนเสียงของตนเอง จึงใช้วิธีเอา
หูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่เอาใจใส่ศาสนาของตน ปล่อยให้เชื้อสายมลายูเล่นงานเอาไม่หยุดหย่อน เขาเล่นงาน
ถึงขั้นฆ่า...เผาบ้าน เผาโรงเรียนก็ยังปล่อยให้เขาเล่นงานด้วยความอดกลั้น แล้วก็อ้างว่าเป็นการรักษา
สมานฉันท์ คนที่ชักชวนให้สมานฉันท์อย่างผิดๆ คือ "นายอานันท์ ปันยารชุน" อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัยของไทย
เมื่อคลำเป้าอย่างนี้แล้วจะเห็นความผิดพลาดชัดเจนยิ่งนัก
บทที่ ๑๔ ย้อนอดีต คลำหาปม
การค้นหาตัวเหตุและปัจจัยว่า อะไรคือตัวแก่นในที่ทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ก็ต้องย้อนกลับไปสู่อดีต
๑. เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๒๒ เจ้าอินทิรา เปลี่ยนศาสนา หันไปนับถืออิสลาม
๒. ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทรงแบ่งการปกครองหัวเมืองออกจากอำนาจของปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง
๓. ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้ยกเลิกระบบเจ้าพระยา
มหานครแล้วนำระบบใหม่มาใช้ เรียกว่า มณฑลเทศาภิบาล เพี่อการเก็บภาษีอากร ส่งตรงเข้าวังหลวง โดย
ไม่ผ่านปัตตานีเหมือนเก่าก่อน (ระบบนี้ได้พัฒนาเป็นเทศบาลถึงปัจจุบัน
๔. ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ได้ก่อกบฏต่อเมืองหลวง
๕. ปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โต๊ะแต มือขวาของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลเกเดร์" ยกกำลังเข้าผาอำเภอยะลา
จังหวัดยะลา ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง คือ อับดุลกาเดร์
๖. ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ หะยีบูละ ก่อจลาจลขึ้นที่ จันสตาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
๗. ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ เปาะจิกา เปิดแนวรบทั่ว ๓ จังหวัด ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลจึง
ปราบปรามอย่างหนัก เปาะจิกาตายในรังปืน
๘. ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ถึงแก่กรรมที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ก่อน
ตายได้ฝากอุดมการณ์เอาไว้ว่า ขอให้ลูกหลานอย่าเลิกการต่อสู้ ให้เสียสละชีวิตแลกเอาปัตตานี กลับมาเป็น
ประเทศเอกราชให้ได้ นับแต่นั้นมาก็ได้มีเริ่มนับวันเวลากำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมาย
๙. ในปีเดียวกันนี้ (๒๔๗๖) ได้มีตัวตายตัวแทนอับดุลกาเดร์ปรากฏตัวขึ้น แล้วประกาศสืบทอดเจตนารมณ์รับ
หน้าที่เป็นหัวหน้าโจรปัตตานี คนที่ ๑ ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน"
๑๐. ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ เพิ่มการต่อสู้ทางการเมือง จึง
สร้างมือขวาของตน คือ "ตวนกู อับดุลยะลา" หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี ให้ลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ใช้
เวลาเปิดตัวอยู่หลายปี จึงได้มีโอกาสสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร นายอดุลย์ ได้รับชัยชนะลอยสำเข้าสภา
๑๑. ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ นายอดุลย์ ณ สายบุรี หรือ "ตวนกู อับดุลยะลา" ผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายในสภาว่า
ประเทศไทยข่มเหงรังแกพี่น้องอิสลาม ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่อยากเป็นคนไทย เพราะเป็นแล้วเสียเปรียบ แล้ว
กล่าวตู่ประเทศไทยล่าเอาปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้น
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายอดุลย์ ณ สายบุรี ถึงแม้จอมพล
ป.พิบูลสงคราม จะปฏิเสธอย่างไร แต่คำประกาศของ นายอดุลย์ ณ สายบุรีก็ได้ปราฏขึ้นในรัฐสภาแล้ว
๑๒. ในช่วงเดียวกันนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ มีหัวหน้าโจรปัตตานี ถึง ๓ ตวนกู
(๑) ตวนกูมะหมุด มะไฮมะยีดิน
(๒) ตวนกูอับดุลยะลา หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี
(๓) ตวนกูมัดตารอ๑๓. ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดปรากฏการณ์ หัวหน้าโจรแบ่งแยกดินแดนใหม่ แทนพวกตวนกูทั้งสาม คนผู้นั้น คือ "
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ซึ่งเป็นเชื้อสายที่แท้จริงของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลกาเดร์" หะยีสุหลง
อัปดุลกาเดร์ ได้กระทำเยี่ยงกบฏต่อแผ่นดิน จึงถูกจับกุมตัว ถูกตัดสินให้จองจำ ๗ ปี ที่นครศรีธรรมราช แต่ได้
รับการพระราชอภัยโทษ ปล่อยออกมาจากเรือนจำ หลังจากถูกขังอยู่ ๓ปี ๖ เดือน
๑๔. ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หัวหน้าโจรปัตตานีตัวแทนหะยีสุหลง ชื่อ "หะยีดือราแม" ได้ก่อ
กบฏขึ้น ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เรียกว่า กบฏ"ดุชงญอ"
๑๕. ปี พ.ศ ๒๔๙๔ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ถูกจับถ่วงน้ำที่เกาะหนู-เกาะแมว จังหวัดสงขลา สร้างความ
โกรธแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่อิสลาม อย่างไม่เคยมีมาก่อน
๑๖. ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นักการเมืองภาคใต้ ๕ จังหวัด ประกาศนโยบายตรงกันหมดว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง จะ
แยกดินแดนออกมาเป็นประเทศปัตตานี ปรากฏว่าผู้สมัครที่ประกาศนโยบายแบ่งแยกดินแดน ชนะการเลือกตั้งครบ
๕ จังหวัด แต่ไม่ทันได้อภิปรายในสภา จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้ทำการปฏิวัติจอมพล ป. พิบูลสงครามเมื่อ
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
เรื่องราวที่มีความต่อเนื่องเป็นประหนึ่ง "นิยายเก่าแก่ปรัมปรา" เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เป็นจริง จากชีวิต
จริงได้เกิดปัญหาเข่นฆ่าราวีติดต่อกันยาวนาน ในแผ่นดินสยาม โดยที่ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทย ไม่ได้
แก้ไขมาแต่ต้น ทำให้เกิดการกล่าวตู่ มีการต่อสู้อย่างยอมถวายชีวิต มีการปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นต่อมาเข้าใจผิด
คิดว่าการกระทำของตนเองเป็นสิ่งถูกต้องทั้งหมดนี้คือ การคลำหาปมเงื่อนว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
ผมได้นำประวัติศาสตร์โดยย่อ ตั้งแต่ปี ๒๐๒๒ ฉายให้ท่านได้เห็น "ทางเดิน" ของตัวละครมาจนถึงฉากหลังสุด
คือสิ้นสุดลงที่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ รวมเวลา ๔๗๘ ปี พอจะทำให้มองเห็นภาพว่า โจรปัตตานีนั้นมีความพยายามหนัก
หน่วงเพียงใดเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำให้ปัญหายุติเพียงแค่สมานฉันท์ หรือการกล่าวขอโทษ มันย่อม "เป็นไป
ไม่ได้เลย " ประโยคนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของประเทศสยาม หรือ ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง
แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาผู้บริหารประเทศว่า ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในปัญหา ความไม่มั่นคงของประเทศไทย
ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่
ก็ต้องย้อนกลับไปสู่อดีต
๑. เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๒๒ เจ้าอินทิรา เปลี่ยนศาสนา หันไปนับถืออิสลาม
๒. ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทรงแบ่งการปกครองหัวเมืองออกจากอำนาจของปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง
๓. ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้ยกเลิกระบบเจ้าพระยา
มหานครแล้วนำระบบใหม่มาใช้ เรียกว่า มณฑลเทศาภิบาล เพี่อการเก็บภาษีอากร ส่งตรงเข้าวังหลวง โดย
ไม่ผ่านปัตตานีเหมือนเก่าก่อน (ระบบนี้ได้พัฒนาเป็นเทศบาลถึงปัจจุบัน
๔. ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ได้ก่อกบฏต่อเมืองหลวง
๕. ปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โต๊ะแต มือขวาของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลเกเดร์" ยกกำลังเข้าผาอำเภอยะลา
จังหวัดยะลา ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง คือ อับดุลกาเดร์
๖. ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ หะยีบูละ ก่อจลาจลขึ้นที่ จันสตาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
๗. ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ เปาะจิกา เปิดแนวรบทั่ว ๓ จังหวัด ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลจึง
ปราบปรามอย่างหนัก เปาะจิกาตายในรังปืน
๘. ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ถึงแก่กรรมที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ก่อน
ตายได้ฝากอุดมการณ์เอาไว้ว่า ขอให้ลูกหลานอย่าเลิกการต่อสู้ ให้เสียสละชีวิตแลกเอาปัตตานี กลับมาเป็น
ประเทศเอกราชให้ได้ นับแต่นั้นมาก็ได้มีเริ่มนับวันเวลากำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมาย
๙. ในปีเดียวกันนี้ (๒๔๗๖) ได้มีตัวตายตัวแทนอับดุลกาเดร์ปรากฏตัวขึ้น แล้วประกาศสืบทอดเจตนารมณ์รับ
หน้าที่เป็นหัวหน้าโจรปัตตานี คนที่ ๑ ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน"
๑๐. ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ เพิ่มการต่อสู้ทางการเมือง จึง
สร้างมือขวาของตน คือ "ตวนกู อับดุลยะลา" หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี ให้ลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ใช้
เวลาเปิดตัวอยู่หลายปี จึงได้มีโอกาสสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร นายอดุลย์ ได้รับชัยชนะลอยสำเข้าสภา
๑๑. ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ นายอดุลย์ ณ สายบุรี หรือ "ตวนกู อับดุลยะลา" ผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายในสภาว่า
ประเทศไทยข่มเหงรังแกพี่น้องอิสลาม ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่อยากเป็นคนไทย เพราะเป็นแล้วเสียเปรียบ แล้ว
กล่าวตู่ประเทศไทยล่าเอาปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้น
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายอดุลย์ ณ สายบุรี ถึงแม้จอมพล
ป.พิบูลสงคราม จะปฏิเสธอย่างไร แต่คำประกาศของ นายอดุลย์ ณ สายบุรีก็ได้ปราฏขึ้นในรัฐสภาแล้ว
๑๒. ในช่วงเดียวกันนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ มีหัวหน้าโจรปัตตานี ถึง ๓ ตวนกู
(๑) ตวนกูมะหมุด มะไฮมะยีดิน
(๒) ตวนกูอับดุลยะลา หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี
(๓) ตวนกูมัดตารอ๑๓. ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดปรากฏการณ์ หัวหน้าโจรแบ่งแยกดินแดนใหม่ แทนพวกตวนกูทั้งสาม คนผู้นั้น คือ "
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ซึ่งเป็นเชื้อสายที่แท้จริงของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลกาเดร์" หะยีสุหลง
อัปดุลกาเดร์ ได้กระทำเยี่ยงกบฏต่อแผ่นดิน จึงถูกจับกุมตัว ถูกตัดสินให้จองจำ ๗ ปี ที่นครศรีธรรมราช แต่ได้
รับการพระราชอภัยโทษ ปล่อยออกมาจากเรือนจำ หลังจากถูกขังอยู่ ๓ปี ๖ เดือน
๑๔. ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หัวหน้าโจรปัตตานีตัวแทนหะยีสุหลง ชื่อ "หะยีดือราแม" ได้ก่อ
กบฏขึ้น ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เรียกว่า กบฏ"ดุชงญอ"
๑๕. ปี พ.ศ ๒๔๙๔ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ถูกจับถ่วงน้ำที่เกาะหนู-เกาะแมว จังหวัดสงขลา สร้างความ
โกรธแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่อิสลาม อย่างไม่เคยมีมาก่อน
๑๖. ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นักการเมืองภาคใต้ ๕ จังหวัด ประกาศนโยบายตรงกันหมดว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง จะ
แยกดินแดนออกมาเป็นประเทศปัตตานี ปรากฏว่าผู้สมัครที่ประกาศนโยบายแบ่งแยกดินแดน ชนะการเลือกตั้งครบ
๕ จังหวัด แต่ไม่ทันได้อภิปรายในสภา จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้ทำการปฏิวัติจอมพล ป. พิบูลสงครามเมื่อ
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
เรื่องราวที่มีความต่อเนื่องเป็นประหนึ่ง "นิยายเก่าแก่ปรัมปรา" เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เป็นจริง จากชีวิต
จริงได้เกิดปัญหาเข่นฆ่าราวีติดต่อกันยาวนาน ในแผ่นดินสยาม โดยที่ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทย ไม่ได้
แก้ไขมาแต่ต้น ทำให้เกิดการกล่าวตู่ มีการต่อสู้อย่างยอมถวายชีวิต มีการปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นต่อมาเข้าใจผิด
คิดว่าการกระทำของตนเองเป็นสิ่งถูกต้องทั้งหมดนี้คือ การคลำหาปมเงื่อนว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
ผมได้นำประวัติศาสตร์โดยย่อ ตั้งแต่ปี ๒๐๒๒ ฉายให้ท่านได้เห็น "ทางเดิน" ของตัวละครมาจนถึงฉากหลังสุด
คือสิ้นสุดลงที่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ รวมเวลา ๔๗๘ ปี พอจะทำให้มองเห็นภาพว่า โจรปัตตานีนั้นมีความพยายามหนัก
หน่วงเพียงใดเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำให้ปัญหายุติเพียงแค่สมานฉันท์ หรือการกล่าวขอโทษ มันย่อม "เป็นไป
ไม่ได้เลย " ประโยคนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของประเทศสยาม หรือ ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง
แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาผู้บริหารประเทศว่า ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในปัญหา ความไม่มั่นคงของประเทศไทย
ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่
บทที่ ๑๓ กลยุทธของโจรพูโล
อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้ต้อนรับชายวัย ๔๐ ชาวตรัง ชื่อประทีป เป็นวิศวกรเครื่องจักรกล มาสมัครงาน
ตำแหน่ง "นายช่างควบคุมการติดตั้งเครื่องจักร" ผมกำลังอยากได้อยู่พอดี จึงรีบรับสมัครและบรรจุงาน ให้ลง
มือทำงานในวันรุ่งขึ้น
ตอนแรกๆ นายช่างประทีป จะไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพราะงานเร่งเหลือเกิน ขนาดว่าวิ่งแล้วนะ ยังไม่ทันใจเลย
นายช่างประทีปทำงานอยู่กับนายช่างประกอบ จงคณารักษ์ ผมเข้าไปแจมด้วยเป็นครั้งคราว ทำให้ผมได้ทำงาน
ร่วมกันจึงใกล้ชิดสนิทสนมภายในเวลาอันรวดเร็ว
พอเขารู้จักชื่อผม เขาร้องอ้อ...อาจารย์นี้เอง ที่เขียนเจ้าพ่อกรรมกรในฟ้าเมืองไทย ผมตามอ่านจนกระทั่ง
ฟ้าเมืองไทยเลิกไป แล้วเขาก็ถามหาคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ และ"คำพูน บุญทวี " ผมบอกว่า " ท่านอา
จินต์ ปัญจพรรค์" ท่านยังเขียนหนังสืออยู่ วงการนักเขียนถือว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนคำพูน บุญทวี...กลาย
เป็นคนบุญหมด...ล้มหายตายจากไปนานแล้ว
"ตอนนี้อาจารย์สะอาดเขียนอยู่หรือเปล่า
มิทราบครับ..? ผมบอกว่าผมไม่มีเวลาเขียน"คุณก็เห็นมีแต่งานกับงาน จะเอาเวลาจับปากกาที่ไหนได้"
ผมจำเป็นต้องโกหก ไม่ได้บอกให้เขารู้ว่าผมใช้นามปากกาอื่นเขียนเรื่องภาคใต้
อีก ๑๐ วันต่อมา...ผมถือโอกาสสอบถามความเห็นนายช่างประทีปว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการก่อการร้ายที่
กำเริบเสิบสาน ทำยังกะบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป นายช่างประทีปพูดไม่กี่คำ แต่กินใจความมาก..เขาพูดว่า "
รัฐบาลถูกหัวหน้าโจรพูโตนั่งอยู่ใกล้ๆ หลอกกินตับ...เสียรู้โจร ถูกฆ่าตายรายวัน ยังมีหน้า มาพูดว่าแก้มาถูก
ทางแล้ว..." พูดแล้วสะบัดหน้าพรืด...มีอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ฟังคำตอบแล้ว...เชื่อเลย...เขาพูดจากใจจริง พูดตรงประเด็นเป๊ะ คำพูดของเขากลั่นออกมา
จากใจ เห็นได้จากใบหน้ามีแววฉุนลึก
ในสัปดาห์นั้น ผมหาโอกาสนัดกับเพื่อนเก่าแก่สมัยทำงานด้วยกันที่ ยูโนแคล เขาเป็นคนพื้นที่มาตั้งแต่เกิด
ภรรยาก็เป็นคนพื้น เขาคนนี้ได้เล่าระเอียดยิบเกี่ยวกับ "กลยุทธ์" ของพวกโจรพูโลให้ฟัง ท่านผู้นี้รู้ดีว่าผมเป็น
คนเขียนหนังสือ เพราะเขารู้จักอดีตอันยาวนานของผม
เขาเล่าแบบไม่ปิดบังเลย
กลยุทธ์ที่หนึ่ง... ทำอะไรก็ได้ ทำให้พี่น้องมุสลิมเกลียดคนไทย เอาให้เกลียดถึงกระดูกดำ ดังนั้น การฆ่าแล้ว
โยนความผิดให้ตำรวจ ถ้าโยนไม่ได้ ก็จะกล่าวโทษคนที่
ถูกฆ่าตายว่าทรยศต่อพวกเดียวกัน สมควรตาย
กลยุทธ์ที่สอง... โจรพูโล วางแผนสร้างนักรบมายาวนาน พวกอุสตาส(ครูสอนศาสนา)
รับหน้าที่อบรมสั่งสอนจิตสำนึก แล้วคัดเลือกคนส่งต่อให้หน่วยเหนือของเขา หาทางส่งไปฝึกอบรมที่ต่างประเทศ
ทั้งโดยเปิดเผยภายใต้การสนับสนุนของรัฐ และแอบไปรับการฝีกแบบใต้ดินหลักสูตรให้เก่งภาษาอาหรับจบแล้ว
ให้ทางการ (ไทย) รับรองปริญญาตรี เมือกลับถึงประเทศไทยจะได้รับราชการบริหาร ๓ จังหวัดชายแดนภาค
ใต้ ขณะนักรบหนุ่ม(และสาว) กำลังฝีกอบรมอยู่ต่างประเทศ พ่อแม่จะได้รับเงินกองทุนช่วยเหลือครอบครัว จะ
ไม่ให้ได้รับความลำบาก
กลยุทธ์ที่สาม... สร้างนักการเมืองในทุกระดับ ส่งลงเลือกตั้งทุกพรรคการเมือง ทั้งใน ๓ จังหวัดภาคใต้และ
ทั่วประเทศ กระจาย "นักการเมือง" ออกไปทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด เพื่อการยึดหัวหาดเบ็ดเสร็จ
สร้างอำนาจต่อรองให้มีกำลังมากขึ้น
กลยุทธ์ที่สี่... ประสานงานกับองค์กรมุสลิม มีการเดินทางไปมาหาสู่เชื่อมสัมพันธไมตรี ผูกมิตร แล้วถือโอกาส
เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกล่าวหาประเทศไทยของตัวเอง โดยบอกให้สังคมภายนอกเข้าใจผิด คิดว่าปัตตานีตก
เป็นเมืองขึ้นของไทย ในกลยุทธ์ตัวนี้ โจรพูโลไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะทะเบียนเมืองขึ้นของโลก
ไม่มีรายชื่อประเทศปัตตานี
โจรปัตตานี จึงหันไปให้ข้อมูลเท็จ ฆ่ากันเองแล้วหาว่าถูกอุ้ม ไม่มีใครรังแกก็หาว่ารังแก ไม่ยอมทำงานอะไร
เลย ก็หาว่ารัฐบาลเอาใจใส่แต่พวกพุทธ ปล่อยทิ้งมุสลิมไม่ใยดีกลยุทธ์ที่ห้า... สร้างสุเหร่าให้มากเข้าไว้ แม้ว่าบางหมู่บ้านจะมีอิสลามเพียงครอบครัวเดียวก็สามารถ "หา
เงินมาสร้างสุเหร่าได้" แล้วก็ออกข่าวเสมอว่า จำนวนประชากรของมุสลิมในประเทศไทย มีมากเป็นอันดับ
สองของประเทศพูดให้มากเข้าไว้
กลยุทธ์ที่หก... ออกวารสารและนิตยสารภายในที่ไหนก็ตาม เนื้อหาจะต้องสะท้อนปัญหาของอิสลามทั่วโลก
แล้วดึงมาลงว่าประเทศไทยก็มีปัญหาไม่หย่อนไปกว่ากันพร้อมกับได้สนับสนุนให้ปัญญาชนออกมาทำสื่อให้มากขึ้น
สร้างองค์กรประชาชนด้านนี้ เพื่อการเผยแพร่ให้กว้างขวาง
กลยุทธ์ที่เจ็ด... ได้รับผลกระทบอะไรเล็กน้อยก็ตาม ให้โวยวายทันที
กลยุทธ์ที่แปด... จัดตั้งกองกำลังส่วนหน้า กองหนุน และจัดตั้งแนวร่วมให้กระจายครบ ๕ จังหวัด แต่ให้เน้นที่
๓ จังหวัดก่อน ถ้าได้ยินเสียงบอกกล่าวให้ระดมผู้คนไม่ว่ากรณีใดๆ ให้จัดการระดมคนภายใน ๓ ชั่วโมงเฉพาะ
หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ให้ระดมได้ทันที หมู่บ้านไหนไม่ให้ความช่วยเหลือ จะถูกขึ้นบัญชีดำ
กลยุทธ์ที่เก้า... เป้าหมายคือแบ่งแยกดินแดน แต่เวลาแส่ดงความคิดเห็น ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม จะไม่บอกแม้แต่
ประโยคเดียวว่าต้องการแบ่งแยก สิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง คือ "ขอปกครองตนเอง" โดยยินดีที่จะให้รัฐบาล
กลางเป็นผู้บริหาร กลยุทธ์ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจเพราะว่าถ้าได้ปกครองตนเอง จะเป็นเงื่อนไขไปสู่การ "
ปกครองกันเอง" จะทำให้การแยกตัวเองอย่างแท้จริงง่ายขึ้น
กลยุทธ์ที่สิบ... เรียกร้องให้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษากลาง ประดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. และ ข้าราชการทั้ง
หลายร้อยละ ๘๐ ต้องเป็นอิสลาม
กลยุทธ์ที่สิบเอ็ด... กองกำลังทั้งหมด แม้จะจบวิชาฆ่ามาจากต่างประเทศ มีความชำนาญในการใช้อาวุธ แต่
ให้เริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณ เช่น มีดสปาต้า กริช การฆ่าให้เชือดคอเชือดลูกกระเดือก หรือไม่ก็ตัดหัวหิ้วเอา
ไปประจาน แสดงออกประหนึ่งเป็นการระบายความแค้น
กลยุทธ์ที่สิบสอง...หลอกล่อ ยั่วยุให้ฝ่ายราชการใช้กำลังปราบปราม เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่าถูกปราบปราม
อย่างทารุณ ไม่มีความยุติธรรม
กลยุทธ์ที่สิบสาม...โปรยใบปลิว ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าร่วม พวกอุสตาสออกไปพบกับชาวบ้านแจ้งให้ทราบว่า
อีกไม่นานจะชนะ
กลยุทธ์ที่สิบสี่...เริ่มปฏิบัติการกับพระพุทธศาสนาและชาวพุทธ ขับไล่ให้ออกไปจากดินแดนถ้าใครไม่กลัวตาย
ให้ฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ไม่เลือกลูกเด็กเล็กแดง
กลยุทธ์ที่สิบห้า...ให้คอยฟังสัญญาณปลดปล่อยปัตตานี เมื่อได้รับสัญญาณ ให้ทุกคนออกไปยึดที่ทำการของรัฐบาล
ทุกแห่ง เอาเด็กและผู้หญิงเป็นเกราะกำบังกะว่าจะใช้คน ๕ แสน หรือ ๒ ล้านคน ก็จะสามารถยึดได้ภายใน
วันเดียว แล้วประกาศเอกราช...
และวันนั้นชาวปัตตานี จะได้เห็นหน้าว่า ใครคือสุลต่าน หรือ ประธานาธิบดี คนแรกของชาวปัตตานีที่รอคอยมา
๑๐๐ ปี แล้วจะได้เห็นแม่ทัพนายกอง ตลอดทั้งคณะผู้บริหารประเทศใหม่ ภายใต้ธงชาติปัตตานี พวกโจรปัตตานี
เขามั่นใจของเขามาก
เพื่อนเก่าแก่ในยูโนแคล คนพื้นที่โดยแท้นำเอาข้อลี้ลับมาเล่า และยืนยันว่าเป็นความจริงครบทุกกลยุทธ์ไม่ใช่ปั้นแต่งขึ้น
กลยุทธ์ที่สิบหก... เป็นกลยุทธ์พลิกผันไปตามสถานการณ์ จะมี "คำลั่งพิเศษ" ออกมาเป็นระยะโดยจะปรับเข้า
กับกลยุทธ์เก่าหรือกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง
เพื่อนของผมบอกซ้ำว่า กลยุทธ์ของพวกโจรพูโลร้ายกาจมากแล้วจับมือถือแขนเขย่า ด้วยความคับแค้นใจ บอก
กับผมว่า ถ้าคุณสอาดเขียนหนังสือเปิดหน้ากากเมื่อใด ให้แปลเป็น๔ ภาษา คือภาษาอังกฤษ อาหรับ ภาษาจีน
โดยมีไทยเป็นแม่บท คนจะได้รู้กำพืดที่แท้จริงของโจรปัตตานี
ผมรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้รับรู้กลยุทธ์ลี้ลับที่พวกโจรวางเป็นกระดานเอาไว้ให้ขบวนการของพวกเขาเดินตาม
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผมเชื่อว่าโจรเขาแน่นมาก..โจรปัตตานีไม่ใช่โจรกระจอกอย่างแน่นอน
ตำแหน่ง "นายช่างควบคุมการติดตั้งเครื่องจักร" ผมกำลังอยากได้อยู่พอดี จึงรีบรับสมัครและบรรจุงาน ให้ลง
มือทำงานในวันรุ่งขึ้น
ตอนแรกๆ นายช่างประทีป จะไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพราะงานเร่งเหลือเกิน ขนาดว่าวิ่งแล้วนะ ยังไม่ทันใจเลย
นายช่างประทีปทำงานอยู่กับนายช่างประกอบ จงคณารักษ์ ผมเข้าไปแจมด้วยเป็นครั้งคราว ทำให้ผมได้ทำงาน
ร่วมกันจึงใกล้ชิดสนิทสนมภายในเวลาอันรวดเร็ว
พอเขารู้จักชื่อผม เขาร้องอ้อ...อาจารย์นี้เอง ที่เขียนเจ้าพ่อกรรมกรในฟ้าเมืองไทย ผมตามอ่านจนกระทั่ง
ฟ้าเมืองไทยเลิกไป แล้วเขาก็ถามหาคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ และ"คำพูน บุญทวี " ผมบอกว่า " ท่านอา
จินต์ ปัญจพรรค์" ท่านยังเขียนหนังสืออยู่ วงการนักเขียนถือว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนคำพูน บุญทวี...กลาย
เป็นคนบุญหมด...ล้มหายตายจากไปนานแล้ว
"ตอนนี้อาจารย์สะอาดเขียนอยู่หรือเปล่า
มิทราบครับ..? ผมบอกว่าผมไม่มีเวลาเขียน"คุณก็เห็นมีแต่งานกับงาน จะเอาเวลาจับปากกาที่ไหนได้"
ผมจำเป็นต้องโกหก ไม่ได้บอกให้เขารู้ว่าผมใช้นามปากกาอื่นเขียนเรื่องภาคใต้
อีก ๑๐ วันต่อมา...ผมถือโอกาสสอบถามความเห็นนายช่างประทีปว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการก่อการร้ายที่
กำเริบเสิบสาน ทำยังกะบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป นายช่างประทีปพูดไม่กี่คำ แต่กินใจความมาก..เขาพูดว่า "
รัฐบาลถูกหัวหน้าโจรพูโตนั่งอยู่ใกล้ๆ หลอกกินตับ...เสียรู้โจร ถูกฆ่าตายรายวัน ยังมีหน้า มาพูดว่าแก้มาถูก
ทางแล้ว..." พูดแล้วสะบัดหน้าพรืด...มีอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ฟังคำตอบแล้ว...เชื่อเลย...เขาพูดจากใจจริง พูดตรงประเด็นเป๊ะ คำพูดของเขากลั่นออกมา
จากใจ เห็นได้จากใบหน้ามีแววฉุนลึก
ในสัปดาห์นั้น ผมหาโอกาสนัดกับเพื่อนเก่าแก่สมัยทำงานด้วยกันที่ ยูโนแคล เขาเป็นคนพื้นที่มาตั้งแต่เกิด
ภรรยาก็เป็นคนพื้น เขาคนนี้ได้เล่าระเอียดยิบเกี่ยวกับ "กลยุทธ์" ของพวกโจรพูโลให้ฟัง ท่านผู้นี้รู้ดีว่าผมเป็น
คนเขียนหนังสือ เพราะเขารู้จักอดีตอันยาวนานของผม
เขาเล่าแบบไม่ปิดบังเลย
กลยุทธ์ที่หนึ่ง... ทำอะไรก็ได้ ทำให้พี่น้องมุสลิมเกลียดคนไทย เอาให้เกลียดถึงกระดูกดำ ดังนั้น การฆ่าแล้ว
โยนความผิดให้ตำรวจ ถ้าโยนไม่ได้ ก็จะกล่าวโทษคนที่
ถูกฆ่าตายว่าทรยศต่อพวกเดียวกัน สมควรตาย
กลยุทธ์ที่สอง... โจรพูโล วางแผนสร้างนักรบมายาวนาน พวกอุสตาส(ครูสอนศาสนา)
รับหน้าที่อบรมสั่งสอนจิตสำนึก แล้วคัดเลือกคนส่งต่อให้หน่วยเหนือของเขา หาทางส่งไปฝึกอบรมที่ต่างประเทศ
ทั้งโดยเปิดเผยภายใต้การสนับสนุนของรัฐ และแอบไปรับการฝีกแบบใต้ดินหลักสูตรให้เก่งภาษาอาหรับจบแล้ว
ให้ทางการ (ไทย) รับรองปริญญาตรี เมือกลับถึงประเทศไทยจะได้รับราชการบริหาร ๓ จังหวัดชายแดนภาค
ใต้ ขณะนักรบหนุ่ม(และสาว) กำลังฝีกอบรมอยู่ต่างประเทศ พ่อแม่จะได้รับเงินกองทุนช่วยเหลือครอบครัว จะ
ไม่ให้ได้รับความลำบาก
กลยุทธ์ที่สาม... สร้างนักการเมืองในทุกระดับ ส่งลงเลือกตั้งทุกพรรคการเมือง ทั้งใน ๓ จังหวัดภาคใต้และ
ทั่วประเทศ กระจาย "นักการเมือง" ออกไปทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด เพื่อการยึดหัวหาดเบ็ดเสร็จ
สร้างอำนาจต่อรองให้มีกำลังมากขึ้น
กลยุทธ์ที่สี่... ประสานงานกับองค์กรมุสลิม มีการเดินทางไปมาหาสู่เชื่อมสัมพันธไมตรี ผูกมิตร แล้วถือโอกาส
เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกล่าวหาประเทศไทยของตัวเอง โดยบอกให้สังคมภายนอกเข้าใจผิด คิดว่าปัตตานีตก
เป็นเมืองขึ้นของไทย ในกลยุทธ์ตัวนี้ โจรพูโลไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะทะเบียนเมืองขึ้นของโลก
ไม่มีรายชื่อประเทศปัตตานี
โจรปัตตานี จึงหันไปให้ข้อมูลเท็จ ฆ่ากันเองแล้วหาว่าถูกอุ้ม ไม่มีใครรังแกก็หาว่ารังแก ไม่ยอมทำงานอะไร
เลย ก็หาว่ารัฐบาลเอาใจใส่แต่พวกพุทธ ปล่อยทิ้งมุสลิมไม่ใยดีกลยุทธ์ที่ห้า... สร้างสุเหร่าให้มากเข้าไว้ แม้ว่าบางหมู่บ้านจะมีอิสลามเพียงครอบครัวเดียวก็สามารถ "หา
เงินมาสร้างสุเหร่าได้" แล้วก็ออกข่าวเสมอว่า จำนวนประชากรของมุสลิมในประเทศไทย มีมากเป็นอันดับ
สองของประเทศพูดให้มากเข้าไว้
กลยุทธ์ที่หก... ออกวารสารและนิตยสารภายในที่ไหนก็ตาม เนื้อหาจะต้องสะท้อนปัญหาของอิสลามทั่วโลก
แล้วดึงมาลงว่าประเทศไทยก็มีปัญหาไม่หย่อนไปกว่ากันพร้อมกับได้สนับสนุนให้ปัญญาชนออกมาทำสื่อให้มากขึ้น
สร้างองค์กรประชาชนด้านนี้ เพื่อการเผยแพร่ให้กว้างขวาง
กลยุทธ์ที่เจ็ด... ได้รับผลกระทบอะไรเล็กน้อยก็ตาม ให้โวยวายทันที
กลยุทธ์ที่แปด... จัดตั้งกองกำลังส่วนหน้า กองหนุน และจัดตั้งแนวร่วมให้กระจายครบ ๕ จังหวัด แต่ให้เน้นที่
๓ จังหวัดก่อน ถ้าได้ยินเสียงบอกกล่าวให้ระดมผู้คนไม่ว่ากรณีใดๆ ให้จัดการระดมคนภายใน ๓ ชั่วโมงเฉพาะ
หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ให้ระดมได้ทันที หมู่บ้านไหนไม่ให้ความช่วยเหลือ จะถูกขึ้นบัญชีดำ
กลยุทธ์ที่เก้า... เป้าหมายคือแบ่งแยกดินแดน แต่เวลาแส่ดงความคิดเห็น ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม จะไม่บอกแม้แต่
ประโยคเดียวว่าต้องการแบ่งแยก สิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง คือ "ขอปกครองตนเอง" โดยยินดีที่จะให้รัฐบาล
กลางเป็นผู้บริหาร กลยุทธ์ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจเพราะว่าถ้าได้ปกครองตนเอง จะเป็นเงื่อนไขไปสู่การ "
ปกครองกันเอง" จะทำให้การแยกตัวเองอย่างแท้จริงง่ายขึ้น
กลยุทธ์ที่สิบ... เรียกร้องให้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษากลาง ประดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. และ ข้าราชการทั้ง
หลายร้อยละ ๘๐ ต้องเป็นอิสลาม
กลยุทธ์ที่สิบเอ็ด... กองกำลังทั้งหมด แม้จะจบวิชาฆ่ามาจากต่างประเทศ มีความชำนาญในการใช้อาวุธ แต่
ให้เริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณ เช่น มีดสปาต้า กริช การฆ่าให้เชือดคอเชือดลูกกระเดือก หรือไม่ก็ตัดหัวหิ้วเอา
ไปประจาน แสดงออกประหนึ่งเป็นการระบายความแค้น
กลยุทธ์ที่สิบสอง...หลอกล่อ ยั่วยุให้ฝ่ายราชการใช้กำลังปราบปราม เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่าถูกปราบปราม
อย่างทารุณ ไม่มีความยุติธรรม
กลยุทธ์ที่สิบสาม...โปรยใบปลิว ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าร่วม พวกอุสตาสออกไปพบกับชาวบ้านแจ้งให้ทราบว่า
อีกไม่นานจะชนะ
กลยุทธ์ที่สิบสี่...เริ่มปฏิบัติการกับพระพุทธศาสนาและชาวพุทธ ขับไล่ให้ออกไปจากดินแดนถ้าใครไม่กลัวตาย
ให้ฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ไม่เลือกลูกเด็กเล็กแดง
กลยุทธ์ที่สิบห้า...ให้คอยฟังสัญญาณปลดปล่อยปัตตานี เมื่อได้รับสัญญาณ ให้ทุกคนออกไปยึดที่ทำการของรัฐบาล
ทุกแห่ง เอาเด็กและผู้หญิงเป็นเกราะกำบังกะว่าจะใช้คน ๕ แสน หรือ ๒ ล้านคน ก็จะสามารถยึดได้ภายใน
วันเดียว แล้วประกาศเอกราช...
และวันนั้นชาวปัตตานี จะได้เห็นหน้าว่า ใครคือสุลต่าน หรือ ประธานาธิบดี คนแรกของชาวปัตตานีที่รอคอยมา
๑๐๐ ปี แล้วจะได้เห็นแม่ทัพนายกอง ตลอดทั้งคณะผู้บริหารประเทศใหม่ ภายใต้ธงชาติปัตตานี พวกโจรปัตตานี
เขามั่นใจของเขามาก
เพื่อนเก่าแก่ในยูโนแคล คนพื้นที่โดยแท้นำเอาข้อลี้ลับมาเล่า และยืนยันว่าเป็นความจริงครบทุกกลยุทธ์ไม่ใช่ปั้นแต่งขึ้น
กลยุทธ์ที่สิบหก... เป็นกลยุทธ์พลิกผันไปตามสถานการณ์ จะมี "คำลั่งพิเศษ" ออกมาเป็นระยะโดยจะปรับเข้า
กับกลยุทธ์เก่าหรือกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง
เพื่อนของผมบอกซ้ำว่า กลยุทธ์ของพวกโจรพูโลร้ายกาจมากแล้วจับมือถือแขนเขย่า ด้วยความคับแค้นใจ บอก
กับผมว่า ถ้าคุณสอาดเขียนหนังสือเปิดหน้ากากเมื่อใด ให้แปลเป็น๔ ภาษา คือภาษาอังกฤษ อาหรับ ภาษาจีน
โดยมีไทยเป็นแม่บท คนจะได้รู้กำพืดที่แท้จริงของโจรปัตตานี
ผมรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้รับรู้กลยุทธ์ลี้ลับที่พวกโจรวางเป็นกระดานเอาไว้ให้ขบวนการของพวกเขาเดินตาม
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผมเชื่อว่าโจรเขาแน่นมาก..โจรปัตตานีไม่ใช่โจรกระจอกอย่างแน่นอน
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
บทที่ ๑๒ ธงชาติและ...เพลงชาติปัตตานี
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ วันหนึ่ง ผมได้เห็น "ธงชาติ" ของปัตตานี ผมจะไม่ขออธิบายรูปร่างหน้าตา และจะไม่นำมา เผยแพร่ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ที่ผมหงุดหงิดใจมาก ทำไม คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่มี วิธีแก้เกมกับพวกที่สร้างธงชาติปัตตานี ผมถามของผมอยู่ในใจว่า นายกฯ เป็นคนโง่หรือคนฉลาด แล้วก็เลยไป ถึงพล. อ ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะผู้โอบอุ้มกลุ่มวาดะห์ ไม่รู้เชียวหรือว่า โจรป่าทำธงชาติเตรียมไว้นานแล้ว นอกจากนี้ ผมมีคำถามเยอะแยะกับประดานักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. และ ส.ว. ที่ได้ดิบได้ดี ในสภาไม่มีใครแม้แต่รายเดียวที่จะบอกได้ว่า โจรได้จัดทำธงชาติแล้วเก็บเอาไว้ในที่สูง ธงชาติผืนแรก ปักดิ้น ทองงดงามยิ่งนัก (จากคำบอกเล่าของโทน) อย่าว่าแต่ธงชาติเลย เพลงชาติก็มีแล้ว ชาวบ้านที่อยู่ในเขตอิทธิพลของโจรพูโล เขาห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามแสดงการเคารพสถาบันของชาติไทย บางหมู่บ้านร้องเพลงชาติปัตตานีเวลา ๐๘.๐๐ น. แทนเพลงชาติไทย เพียงแต่ว่ายังไม่มีการชักธงชาติปัตตานีเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครรู้แม้แต่รายเดียวหรือไง คนระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หัวหน้ากรองช่าว ผู้อำนวย การศูนย์ประสานงานแห่งชาติ หัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดทั้งนักการเมืองน้อยใหญ่ ไม่รู้กันเลยหรือไง เรื่องเหล่านี้เป็นคำถามที่น่าฉงน.... |
|
บทที่ ๑๑ สถานที่ตั้ง....เมืองหลวงรัฐปัตตานี
คีย์แมนโทนกับผมใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ข่าวมาว่า สาวชาวใต้เชื้อแขกหลายคนตกหลุม
รักหนุ่มอีสาน บางคนถึงกับได้เสียเป็นแฟนกันแล้ว แต่พ่อแม่คงไม่ยอมรับง่ายๆ ผมบอกกับโทนว่าถึงพ่อแม่ยังไม่
ยอมรับก็คงห้ามไม่อยู่ เพราะว่าอำนาจแห่งความรักไม่มีอะไรขวางกั้นได้ โทนหัวเราะเพราะเขามี
ประสบการณ์มากกว่าใคร
ข่าวสาวใต้กลายเป็นแฟนหนุ่มพุทธ ดังไปเร็วมาก ปรากฏว่าไม่นานก็ได้เกิดความปั่นป่วน ในบริษัทผู้รับเหมา
ช่วงหลายบริษัท พ่อแม่บางรายให้ลูกออกจากงานทันที ห้ามไม่ให้คบหาสมาคมกัน
แต่คนมันจะรักกันเขาก็ต้องหาทางแก้ไขจนได้ วิธีการแก้ไขนั้นคงไม่พ้นต้องไปเปลี่ยนศาสนา ใช้เวลาศึกษาวิธี
การละหมาดและการแสดงตนเป็นอิสลามอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะได้แต่งงานกัน โทนเล่าต่อไปว่า สาวใต้
ชอบหนุ่มเหนือและหนุ่มอีสานเพราะเป็นคนทำงาน ดูแลเอาใจใส่เมียดี เป็นที่ประทับใจจนกลายเป็นเรื่องเล่า
ขานสร้างความเชื่อถือเอาไว้มาก
ต่อมาอีก ๓ - ๔ วัน ผมถือโอกาสคุยกับคีย์แมนโทน ขณะพักเที่ยงอีกเช่นเคย
ผมเล่านิทานนำร่องไปก่อน ผมบอกว่า ผมเคยมาทำงานที่สงขลาเป็นผู้จัดการบริษัทเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซ
ในอ่าวไทย ชื่อบริษัท ยูโนแคล ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ตอนนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ โจรจับตัวเรียกค่าไถ่มีไปทุกหัว
ระแหง ข่าวแบ่งแยกดินแดนได้ยินมาแต่ครั้งนั้นแล้ว
ผมบอกว่าผมอยู่สงขลาติดต่อกัน ๖ ปี จึงลาออกแล้วไปทำงานตะวันออกกลาง แล้วผมก็ถามโทนว่า " เคยรู้
ไหม...พวกโจรปัตตานี เขาคิดจะตั้งเมืองหลวงที่ไหน..."
โทนบอกว่า "ได้ยินยิ่งกว่าได้ยิน เขารู้แล้วด้วยว่าพวกนั้นจะตั้งที่ไหนเป็นเมืองหลวงของรัฐปัตตานี..."
"รู้แล้วเรอะ ?" ผมมีอาการตื่นเต้น แต่ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์
"รู้ซิครับนายหัว เขาวางแผนเอาไว้แล้วจะตั้งที่ไหน..." "ปัตตานีนะซี"...ผมพูดขึ้นมาก่อน
"เปล่าเลย...นายหัวรู้มาผิดๆ" โทนมองดูหน้าผม"
“อ้าว... แล้วที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ปัตตานี ผมมองที่ตาของเขา
คีย์แมนโทน เอากระดาษเอ ๔ มาเขียนแผนที่แบบคนที่รู้น้อย อธิบายให้ผมฟัง มือเขียนไปปากก็พูดไป “ตรงนี้
นะ อำเภอธารโต... ฝั่งตรงกันข้าม คือ รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ถ้ายิ่งย้อนขึ้นมาทางนี้จะเข้าตัวเมือง
ยะลา แล้วตรงไปเป็นปัตตานี วกขวามือเลาะริมทะเล เป็นเส้นทางไปจังหวัดนราธิวาส ออกจากนราธิวาสก็
จะไปตากใบ แล้วก็เข้ารัฐกลันตัน มาเลเซีย...”
“โทน... พูดมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่าเมืองหลวงของเขาจะตั้งที่ไหน...? ผมว่า
“นี่ไง... นายหัว... ตรงนี้เรียกว่าอำเภอบันนังสตา ตรงนี้แหละ... เหลืองหลวงของเขาละ...”
ผมอึ้ง... นั่งพิจารณาดูจุดที่ตั้งที่คีย์แมนดทนเล่าให้ฟัง มันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่าชื่อของปัตตานีดังมาก...
โลกอิสลามรู้จักกันดี ทำไมจึงไม่ตั้งเมืองหลวงที่ปัตตานี ทำไมจึงเลือกอำเภอเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร
เลย... แต่คีย์แมนโทนเป็นคนที่บอกเรื่องนี้... ผมรับฟังเอาไว้
เถอะ... ไม่ว่าโจรป่าจะเลือกบันนังสตาหรือที่ไหนก็ตาม เราไม่มีอารมณ์ที่จะรับฟัง แต่ถ้าจะมองดูให้ดี จะ
พบว่าทางตอนใต้ของบันนังสตา คือเขื่อนบางลาง และใต้ลงไปคือเบตง พวกโจรป่าคงจะคิดในด้านความมั่นคง
ในระยะข้างหน้าอันยาวนาน ถ้าเขาได้ปัตตานีมาเป็นประเทศของเขาเอง เมืองหลวงที่จะตั้งจะต้องมีพลังพิง
ถ้าเอาปัตตานีเป็นที่ตั้งเมืองหลวง กองทัพเรือยกพลขึ้นบกพริบตาเดียวก็ถึง
แต่ถ้าเลือกเอาบันนังสตา... เต็มไปด้วยขุนเขา มีป่าไม้ให้เป็นที่หลบซ่อนส้องสุมผุ้คน ซึ่งเป็นยุทธภูมิดีมาก
อีกอย่าง ถ้าจะอาศัยกองกำลังที่สะสมเอาไว้นอกประเทศ จะได้พึ่งพาอาศัยในเวลาอันรวดเร็ว ผมคิดไปถึง
กองกำลังจากอาเจะห์ เข้ามาทางบันนังสตาง่ายยิ่งนัก
อำเภอบันนังสตามีเนื้อที่ประมาณ ๖๒๙ ตารางกิโลเมตร มีประชากร ๔๖,๕๑๑ คน แยกเป็นชาย ๒๔,๑๕๙ คน
ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ ๘๒.๒๐% นับถือพระพุทธศาสนา ๑๗.๘๐%
มี ๖ ตำบล ๕๐ หมู่บ้าน
มัสยิด ๔๙ แห่ง วัด ๑๒ แห่งอำเภอบันนังสตาตั้งอยู่ห่างจังหวัดยะลา ๓๙ กิโลเมตร เส้นทางสาย ๔๑๐ วิ่งตัดผ่านภูเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้
“โจรปัตตานี” มีความเข้มแข็งมากกว่าที่อื่น เชื่อว่าโจรมีกองกำลังซ่อนในหุบเขา ...คีย์แมนโทนเปิดเผยชื่อ
หัวหน้าใหญ่ในพื้นที่บันนังสตาให้ฟังว่ามีหลายคน แต่ที่ปรากฏชื่อเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ อาหมัด
ตืองะหรือุสตาสมะ เป็นครูสอนศาสนาที่โด่งดังมาก ตามด้วย “อุสตาส” อีกหลายคน เช่น สะการีนา หะยีซา
เมาะ อีสมาแอล รายาหลง มีชื่อเล่นว่า อุสตาสโซ๊ะ นายอุสมานเด็งสาแม มีชื่อเล่นว่า “อุสตาสสมัง” นาย
รอเซะ ดอเลาะ ทั้งหมดดังที่มีชื่อเหล่านี้ แต่ละคนจะมีกองกำลังเป็นของตนเอง
พวกโจรปัตตานีได้มอบความไว้วางใจให้หัวหน้าโจรเขตต่อสู้บันนังสตาเร่งการปลดปล่อย เสริมเขี้ยวเล็บ
สร้างความเจ็บปวดให้ทหารและตำรวจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ผมตบไหล่คีย์แมนโทน... แล้วให้ลงเวลาทำงาน โอเวอร์ไทม์พิเศษโดยไม่ต้องทำ ๕ ชั่วโมง เขาจะได้รับ
เงินค่าชั่วโมงในซองเงินเดือนงวดต่อไป คีย์แมนดทนถามผมว่าให้ชั่วโมงพิเศษแก่เขาทำไม ผมบอกว่าประเพณี
การทำงานสนามใครขยัน ใครเป็นคนดี รู้จักรักษาความปลอดภัย ไม่ขี้เกียจ ย่อมจะได้ค่าเบี้ยขยัน เรียกว่า “
อินเซ็นตีฟ” (Incentive) ผมเห็นว่าคุณเป็นคนที่ผมพึ่งได้ จึงให้เบี้ยขยันตอบแทนยังไงล่ะ
ถึงเวลา ๑๓.๐๐ น. เสียงเครื่องจักรและผู้คนที่เงียบลงเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ดังก้องขึ้นมาอีกคีย์แมนโทน
และคนงานทั้งหลายแห่ออกไปทำงานอย่างกุลีกุจอ
ผมนั่งเงียบอยู่คนเดียวเกือบ ๕ นาที
คำว่า “เมืองหลวงของพวกโจรพูโล คือบันนังสตา” ดังก้องอยู่ในหัวอก
รักหนุ่มอีสาน บางคนถึงกับได้เสียเป็นแฟนกันแล้ว แต่พ่อแม่คงไม่ยอมรับง่ายๆ ผมบอกกับโทนว่าถึงพ่อแม่ยังไม่
ยอมรับก็คงห้ามไม่อยู่ เพราะว่าอำนาจแห่งความรักไม่มีอะไรขวางกั้นได้ โทนหัวเราะเพราะเขามี
ประสบการณ์มากกว่าใคร
ข่าวสาวใต้กลายเป็นแฟนหนุ่มพุทธ ดังไปเร็วมาก ปรากฏว่าไม่นานก็ได้เกิดความปั่นป่วน ในบริษัทผู้รับเหมา
ช่วงหลายบริษัท พ่อแม่บางรายให้ลูกออกจากงานทันที ห้ามไม่ให้คบหาสมาคมกัน
แต่คนมันจะรักกันเขาก็ต้องหาทางแก้ไขจนได้ วิธีการแก้ไขนั้นคงไม่พ้นต้องไปเปลี่ยนศาสนา ใช้เวลาศึกษาวิธี
การละหมาดและการแสดงตนเป็นอิสลามอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะได้แต่งงานกัน โทนเล่าต่อไปว่า สาวใต้
ชอบหนุ่มเหนือและหนุ่มอีสานเพราะเป็นคนทำงาน ดูแลเอาใจใส่เมียดี เป็นที่ประทับใจจนกลายเป็นเรื่องเล่า
ขานสร้างความเชื่อถือเอาไว้มาก
ต่อมาอีก ๓ - ๔ วัน ผมถือโอกาสคุยกับคีย์แมนโทน ขณะพักเที่ยงอีกเช่นเคย
ผมเล่านิทานนำร่องไปก่อน ผมบอกว่า ผมเคยมาทำงานที่สงขลาเป็นผู้จัดการบริษัทเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซ
ในอ่าวไทย ชื่อบริษัท ยูโนแคล ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ตอนนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ โจรจับตัวเรียกค่าไถ่มีไปทุกหัว
ระแหง ข่าวแบ่งแยกดินแดนได้ยินมาแต่ครั้งนั้นแล้ว
ผมบอกว่าผมอยู่สงขลาติดต่อกัน ๖ ปี จึงลาออกแล้วไปทำงานตะวันออกกลาง แล้วผมก็ถามโทนว่า " เคยรู้
ไหม...พวกโจรปัตตานี เขาคิดจะตั้งเมืองหลวงที่ไหน..."
โทนบอกว่า "ได้ยินยิ่งกว่าได้ยิน เขารู้แล้วด้วยว่าพวกนั้นจะตั้งที่ไหนเป็นเมืองหลวงของรัฐปัตตานี..."
"รู้แล้วเรอะ ?" ผมมีอาการตื่นเต้น แต่ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์
"รู้ซิครับนายหัว เขาวางแผนเอาไว้แล้วจะตั้งที่ไหน..." "ปัตตานีนะซี"...ผมพูดขึ้นมาก่อน
"เปล่าเลย...นายหัวรู้มาผิดๆ" โทนมองดูหน้าผม"
“อ้าว... แล้วที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ปัตตานี ผมมองที่ตาของเขา
คีย์แมนโทน เอากระดาษเอ ๔ มาเขียนแผนที่แบบคนที่รู้น้อย อธิบายให้ผมฟัง มือเขียนไปปากก็พูดไป “ตรงนี้
นะ อำเภอธารโต... ฝั่งตรงกันข้าม คือ รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ถ้ายิ่งย้อนขึ้นมาทางนี้จะเข้าตัวเมือง
ยะลา แล้วตรงไปเป็นปัตตานี วกขวามือเลาะริมทะเล เป็นเส้นทางไปจังหวัดนราธิวาส ออกจากนราธิวาสก็
จะไปตากใบ แล้วก็เข้ารัฐกลันตัน มาเลเซีย...”
“โทน... พูดมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่าเมืองหลวงของเขาจะตั้งที่ไหน...? ผมว่า
“นี่ไง... นายหัว... ตรงนี้เรียกว่าอำเภอบันนังสตา ตรงนี้แหละ... เหลืองหลวงของเขาละ...”
ผมอึ้ง... นั่งพิจารณาดูจุดที่ตั้งที่คีย์แมนดทนเล่าให้ฟัง มันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่าชื่อของปัตตานีดังมาก...
โลกอิสลามรู้จักกันดี ทำไมจึงไม่ตั้งเมืองหลวงที่ปัตตานี ทำไมจึงเลือกอำเภอเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร
เลย... แต่คีย์แมนโทนเป็นคนที่บอกเรื่องนี้... ผมรับฟังเอาไว้
เถอะ... ไม่ว่าโจรป่าจะเลือกบันนังสตาหรือที่ไหนก็ตาม เราไม่มีอารมณ์ที่จะรับฟัง แต่ถ้าจะมองดูให้ดี จะ
พบว่าทางตอนใต้ของบันนังสตา คือเขื่อนบางลาง และใต้ลงไปคือเบตง พวกโจรป่าคงจะคิดในด้านความมั่นคง
ในระยะข้างหน้าอันยาวนาน ถ้าเขาได้ปัตตานีมาเป็นประเทศของเขาเอง เมืองหลวงที่จะตั้งจะต้องมีพลังพิง
ถ้าเอาปัตตานีเป็นที่ตั้งเมืองหลวง กองทัพเรือยกพลขึ้นบกพริบตาเดียวก็ถึง
แต่ถ้าเลือกเอาบันนังสตา... เต็มไปด้วยขุนเขา มีป่าไม้ให้เป็นที่หลบซ่อนส้องสุมผุ้คน ซึ่งเป็นยุทธภูมิดีมาก
อีกอย่าง ถ้าจะอาศัยกองกำลังที่สะสมเอาไว้นอกประเทศ จะได้พึ่งพาอาศัยในเวลาอันรวดเร็ว ผมคิดไปถึง
กองกำลังจากอาเจะห์ เข้ามาทางบันนังสตาง่ายยิ่งนัก
อำเภอบันนังสตามีเนื้อที่ประมาณ ๖๒๙ ตารางกิโลเมตร มีประชากร ๔๖,๕๑๑ คน แยกเป็นชาย ๒๔,๑๕๙ คน
ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ ๘๒.๒๐% นับถือพระพุทธศาสนา ๑๗.๘๐%
มี ๖ ตำบล ๕๐ หมู่บ้าน
มัสยิด ๔๙ แห่ง วัด ๑๒ แห่งอำเภอบันนังสตาตั้งอยู่ห่างจังหวัดยะลา ๓๙ กิโลเมตร เส้นทางสาย ๔๑๐ วิ่งตัดผ่านภูเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้
“โจรปัตตานี” มีความเข้มแข็งมากกว่าที่อื่น เชื่อว่าโจรมีกองกำลังซ่อนในหุบเขา ...คีย์แมนโทนเปิดเผยชื่อ
หัวหน้าใหญ่ในพื้นที่บันนังสตาให้ฟังว่ามีหลายคน แต่ที่ปรากฏชื่อเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ อาหมัด
ตืองะหรือุสตาสมะ เป็นครูสอนศาสนาที่โด่งดังมาก ตามด้วย “อุสตาส” อีกหลายคน เช่น สะการีนา หะยีซา
เมาะ อีสมาแอล รายาหลง มีชื่อเล่นว่า อุสตาสโซ๊ะ นายอุสมานเด็งสาแม มีชื่อเล่นว่า “อุสตาสสมัง” นาย
รอเซะ ดอเลาะ ทั้งหมดดังที่มีชื่อเหล่านี้ แต่ละคนจะมีกองกำลังเป็นของตนเอง
พวกโจรปัตตานีได้มอบความไว้วางใจให้หัวหน้าโจรเขตต่อสู้บันนังสตาเร่งการปลดปล่อย เสริมเขี้ยวเล็บ
สร้างความเจ็บปวดให้ทหารและตำรวจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ผมตบไหล่คีย์แมนโทน... แล้วให้ลงเวลาทำงาน โอเวอร์ไทม์พิเศษโดยไม่ต้องทำ ๕ ชั่วโมง เขาจะได้รับ
เงินค่าชั่วโมงในซองเงินเดือนงวดต่อไป คีย์แมนดทนถามผมว่าให้ชั่วโมงพิเศษแก่เขาทำไม ผมบอกว่าประเพณี
การทำงานสนามใครขยัน ใครเป็นคนดี รู้จักรักษาความปลอดภัย ไม่ขี้เกียจ ย่อมจะได้ค่าเบี้ยขยัน เรียกว่า “
อินเซ็นตีฟ” (Incentive) ผมเห็นว่าคุณเป็นคนที่ผมพึ่งได้ จึงให้เบี้ยขยันตอบแทนยังไงล่ะ
ถึงเวลา ๑๓.๐๐ น. เสียงเครื่องจักรและผู้คนที่เงียบลงเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ดังก้องขึ้นมาอีกคีย์แมนโทน
และคนงานทั้งหลายแห่ออกไปทำงานอย่างกุลีกุจอ
ผมนั่งเงียบอยู่คนเดียวเกือบ ๕ นาที
คำว่า “เมืองหลวงของพวกโจรพูโล คือบันนังสตา” ดังก้องอยู่ในหัวอก
บทที่ ๑๐ โจรก่อการร้ายกับอิสลาม
แท้ที่จริงแล้ว ศาสนาอิสลามไม่ได้เป็นต้นเหตุ ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างคน ในชาติ ไม่ว่ากรณี
ใดๆ แม้แต่การที่พุทธต้องหนีตายไปพึ่งวัด ก็ไม่ได้เกิดจากอิสลาม
แท้ที่จริงพวกโจรปัตตานีสร้างกลลวงมายาวนาน จนปลุกให้อิสลามเป็นคนเหี้ยมโหดขึ้น มาช่วยเข่นฆ่าชาวพุทธ
ภายใต้การบงการ คือ พวกโจร ความจริงมันเป็นเช่นนั้น
ต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากปัญหาชนเผ่า แต่ถ้าพุดว่า เป็นปัญหาของชนเผ่า ก็จะเข้าใจยาก ทั้งนี้เนื่องจาก
ประเทศไทย ไม่เคยเอาใจใส่ในปัญหาของชนเผ่าต่างๆเลย เราแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ในประเทศไทยมีกี่
ชนเผ่า มีเผ่าอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าความคิดและความเชื่อของชนเผ่าเป็นอย่างไร
รัฐบาลผู้บริหารประเทศ ด้อยสติปัญญายาวนาน ปล่อยให้เรื่องของชนเผ่า เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและ
กัน ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าไทยตั้งแต่เดิมนั้น มีความยากจนข้นแค้น ความเป็นอยู่อนาถาไร้การศึกษา ไม่มีที่ทำกิน
ไร้ที่อยู่อาศัยไร้ที่พึ่ง ตกอยู่ในฐานะ ผู้เสียเปรียบทางสังคม
สภาพชีวิตที่แท้จริงฟ้องอยู่ในตัวว่า ชนเผ่าไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบชนเผ่าอื่น
ชั้นวรรณะที่แท้จริงของคนไทย คือพลเมืองชั้นสอง
นี่เป็นเรื่องของชนเผ่าไทยโดยแท้ ขนาดนี้ชนเผ่าอื่นกลับกล่าวหาไทยเอารัดเอาเปรียบ ชนเผ่าอื่นที่เข้ามาอยู่
ในประเทศไทย มาพบเจ้าของประเทศที่มาอาการหลับๆตื่นๆ ชนเผ่าไทย จึงตกเป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดกว่า
ยิ่งพระพุทธศาสนานั้น คนทีเข้ามาบวชล้วนแต่เป็นคนที่ยากจน การศึกษาก็น้อย จึงไม่รู้เท่าทันคนเผ่าอื่น ชนเผ่า
อื่นเอาเปรียบเพียงใดก็ทนได้ เพราะว่ารัฐบาลนำพาให้ทนอยู่...ทนสู้.....ชนเผ่าไทยเผชิญชะตากรรมมายาวนาน
ชนเผ่าอื่นนั้น เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาชีพ เขาไม่ได้ยากจนอนาถา เขาไม่มีความหนักใจที่จะอยู่กับคนไทย
เพราะยังไงเสีย อยู่กับคนไทยง่ายกว่าอยู่กับพวกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เขาหนักใจนั้น หรือไม่มีความพึงพอ
ใจทั้งหลายทั้งปวง เพราะเขาต้องการแยกตัวตั้งเป็นประเทศของตนเอง เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า " ซี
เซสเชิน " (Secession) จึงได้เกิดการกบฏ การคิดกบฏนั้น เป็นได้ทั้งความคิดทางชนเผ่า และความมัก
ใหญ่ใฝ่อำนาจ ต้องการเป็นหัวหน้าชนเผ่า หรือเป็นสุลต่านเสียเอง จึงคิดการใหญ่ เกิดการ ส้องสุมกำลัง
ผู้คน แล้วสร้างเงื่อนไขให้เกิดกรณีพิพาท เช่นการฆ่าพระไล่ล่าขาวพุทธ เผาบ้านเผาเรือน หาทางทำให้การ
ต่อสู้ขึ้น จะได้หาเรื่องเอามาโวยวายตามความชำนิชำนาญในการปั้นเรื่องของพวกโจร
จนแล้วจนรอด พุทธก็ยังไม่ต่อสู้ป้องกันตัวเอง
โจรจึงโวยวายเรื่องเก่า หาว่าพุทธรังแกทั้งๆที่ไม่ใช่ความจริง
เรื่องจริงของข้อขัดแย้งทั้งหมด เกิดจากการเป็นกบฏ หลังจากการกบฏก็มีการปราบปราม เมื่อถูกปราบปรามก็
โวยวาย แล้วใช้คำว่า "ประเทศไทยรังแก" ก่อกระแสทำให้เกิดความบาดหมางขยายวงกว้างออกไป ยิ่งมี
การตายเกิดขึ้น ยิ่งเป็นเงื่อนปมให้ยุ่งยากมากขึ้น
กรณีกรือเซะ และ กรณี ตากใบ คือวัตถุดิบชิ้นงามของพวกโจรก่อการร้าย
แต่...ถึงแม้จะกล่าวว่าปัญหาที่แท้จริงคือการกบฏ แต่ปัญหานี้เกิดมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูง และเกิดมาจาก
ความต้องการให้ชนเผ่าของตนแยกเป็นอิสระ โดยอาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม เป็นประหนึ่งหอบังคับ
การ ทำให้โจรปัตตานีได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงสรุปได้ว่า ในที่สุดปัญหาทั้งปวงเกิดจาก
ปัญหาชนเผ่าทั้งสิ้น
โจรก่อการร้าย มีใจต้องการปกครองตนเอง ไม่ต้องการขึ้นกับรัฐบาลที่ผู้บริหารไม่ใช่คนเชื้อชาติเดียวกัน โจร
จึงประกาศต่อสู้กับรัฐบาล โดยประกาศออกมาว่า เป็นการต่อสู้กับรัฐบาลไทย การประกาศเช่นนี้ เป็นการยืน
ยันให้เห็นว่า ตัวเขาไม่อยากเป็นคนไทย ถ้าเขามีความรักในความเป็นคนไทย เขาจะไม่ใช้คำประกาศว่า ต่อ
สู้กับรัฐบาลไทย แต่เขาจะต่อสู้กับ " ตัวบุคคล " เช่น ประกาศว่าสู้กับรัฐบาลทักษิณ หรือสู้กับรัฐบาลหุ่นอะไร
ทำนองนั้นดูตัวอย่าง โจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ไม่เคยประกาศแม้แต่ครั้งเดียวว่าสู้กับรัฐบาลไทย แต่ ผกค.
ประกาศว่า สู้กับรัฐบาลหุ่น ถนอม-ประภาส อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ตัวปัญหาที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย
มันเกี่ยวกับปัญหาหัวใจฝักใฝ่เชื้อชาติเดิมของพวกตนทิ้งไม่ได้ตะหาก แต่ทำอย่างไร รัฐบาลไทยจึงจะยอมรับว่า
ที่โจรยกเอาศาสนาอิสลามขึ้นมาอ้างเสมอนั้น เป็นยุทธการ " ลวง " ถามเช่นนี้แล้ว ก็อยากให้รัฐบาลรับรู้
ความจริงต่อไปว่า ปัญหาของอิสลามดั้งเดิมที่เคยมี ก็ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย ไม่ว่าจะเป็นสงครามครู
เสสกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ล้วนไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย
เรื่องในอดีตที่ศาสนาบาดหมางกันอย่างร้ายกาจรุนแรง เป็นการบาดหมางระหว่างอิสลามกับคริสตังค์ จนมีการ
ทำสงครามล้างเผ่าพันธ์ ดังที่ทราบ
พุทธไม่เคยมีปัญหากับอิสลาม แล้วไฉนกลับกลายเป็นปัญหาระหว่างพุทธกับอิสลาม
กระนั้นก็ตาม แม้ว่าศาสนาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยก็ตาม แต่บัดนี้ พวกโจรได้ขมวดเรื่องศาสนาทั้งหมดเข้า
เป็นก้อนเดียวกันเสียแล้ว จึงเป็นการยากที่จะแยกปัญหาโจรแบ่งแยกดินแดน ออกจากศาสนาอิสลามได้
ผมอยากยกเรื่องราว (ในเชิงซ้ำซากไปหน่อย) เอามาเล่าให้ฟัง จะได้เห็นปัญหานี้กระจ่างชัดมากขึ้น กล่าว
คือโจรได้สร้างปัญหาขึ้นในศาสนา ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม
ซึ่งเราก็รู้ดีว่า ความจริงนั้น ศาสนาไม่เคยมีปัญหา และเราก็รู้ต่อไปว่า มนุษย์ (หรือโจรปัตตานี) ตะหากพา
กันมีปัญหา
อีกประการหนึ่ง มนุษย์ (ขอนอกเรื่องว่า) ผู้เต็มไปด้วยอวิชชา มักจะต้องสร้างปัญหาให้กับสิ่งประเสริฐ ตัว
อย่างเช่น การสนทนาระหว่างนักวิชาการ ผมได้ยินเสมอ เขาชอบพูดว่า " เรามาถกปัญหาธรรมะกัน
เถอะ....? " ผมได้ฟังแล้วก็สะอึก นึกไม่ออกว่า ธรรมะมีปัญหาตรงไหน ทำไมมนุษย์จึงจำเป็นต้องถกกับ
ธรรมะว่ามีปัญหา เรื่องของเรื่องมันเป็นการใช้ภาษาที่ผิด ภาษาทีถูกต้องได้แก่ " เรามาถกเรื่องธรรมะกัน
เถอะ...ตะหาก " ซึ่งหมายถึงพวกที่มาถก ไม่มีความเข้าใจในธรรมะ ไม่รู้ว่าหลักธรรมข้อไหน สอนว่าอย่าง
ไร จึงต้องมาถก....
เพราะฉะนั้น เรื่องของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอิสลาม หรือพุทธ หรือคริสต์ ไม่เคยมีปัญหาด้วยประการทั้ง
ปวง เนื้อแท้ของศาสนาคือการสร้างคนให้เป็นคน ชาติไหนมีศาสนาก็เพื่อจะอาศัยศาสนาเป็นร่มเงา สร้าง
ความเจริญทางจิตใจ สร้างใจให้เกิดความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน และสุดท้ายถือว่าศาสนาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
แต่คนที่นับถือศาสนาเป็นผู้มีกิเลสหนา แล้วอาศัยศาสนาก่อปัญหาขึ้นมา
มีปัญหาเพราะไม่อยากให้มีศาสนาอื่นร่วมโลก ใช้ศาสนาเบียดเบียนคนอื่น
แท้ที่จริงมีปัญหา เพราะต้องการมีแต่ศาสนาของตนเพียงศาสนาเดียว บางคนชั่วร้ายถึงขั้นทึกทักเอาว่า ในโลกนี้
จะต้องมีศาสนาของตนคนเดี่ยว เห็นคนอื่นที่ไม่ได้นับถือเหมือนตนเป็นพวกคนบาปไปจนหมด แล้วก็เข่นฆ่าคนอื่น
อย่างไม่กลัวบาป ตรงกันข้ามกลับพูดว่าได้บุญ
ถ้าตัวเองถูกฆ่าบ้าง....จะยอมรับว่าคนอื่นที่ฆ่าเขาได้บุญไหมเล่า
ผมยกเอามากล่าวซ้ำซาก ก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นการกระทำของโจรก่อการร้าย ที่อ้างว่าพุทธรังแกอิสลาม
และอ้างต่อไปว่า อิสลามไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น เขาอ้างได้อย่างมีอำนาจ เนื่องจากฝ่ายรัฐบาล " นิ่งเฉย
" ไม่เคยที่จะแก้ข้อคิดเห็นที่ผิดพลาด
ถ้าจะแก้จริงๆ จะทำได้โดยไม่ยากเลย ผมลองคิดดูว่า ถ้าแก้ด้วยการออกค่าใช้จ่ายเหมาเครื่องบินให้คนกลาง
ในโลกสัก ๑๐ ลำ เชิญคนกลางทั่วโลกให้มาดู แล้วให้อยู่ฟรีกินฟรี ๑๐ เดือน ให้คนกลางมาแอบสังเกตุการณ์
เอง จะทำใต้ดินแบบสันติบาล หรือจะด้อมๆมองๆ ก็ได้ จะอยู่อย่างเปิดเผยก็ได้ ลงทุนเหมาลำให้คนทั้งหลาย
มาแอบดูว่าพุทธรังแกอิสลามจริงหรือ....แล้วจะได้ เห็นด้วยตา เมื่อเห็นแล้ว คนเหล่านั้นจะเป็นผู้พิสูจน์ให้รู้
ความจริง
ความคิดแบบนี้อาจจะดูโง่ไปหน่อย ถ้ากล้าทำ....จะเกิดภาพที่ชัดเจนอย่างแน่นอน
ทว่า....รัฐบาลไทยไม่คิดหาทางแก้ เอาแต่งมมะหรา ผวาโจรทุกกระบวนท่า
โจรว่ามาก็เต้นไปตามกระบอกเสียงของโจร เรื่องถึงได้เลวร้ายหนักข้อยิ่งขึ้น
ผมขอกล่าวต่อไปว่า ทุกเรื่องทุกวิธีการ โจรเอาศาสนามาเป็นทั้งทัพหน้าและ ทัพหลัง เป็นหน่วยจู่โจมทั้งทาง
การเมืองและทางสังคม และการเศรษฐกิจ เช่น ธนาคาร อิสลาม แล้วรุกคืบเข้าสู่ฐานอำนาจอย่างเอาจริง
เอาจัง โจรทำได้ผลทันตาเห็น อำนาจของอิสลาม กำลังจะกลายเป็นตัวแปร บังคับให้นักการเมืองพุทธที่ขาด
สติสัมปชัญญะ ไม่มีความเข้าใจในความปรารถนาของพวกโจร จะพากันแห่ทำตามข้อเสนอของโจร เรียกว่า
โจรจะขู่เอาอะไรก็ประเคนให้
กลเกมแบบนี้ ใจรได้ชัยชนะ ๒ ด้านในเวลาเดียวกัน๑. พวกโจร จะได้อำนาจใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
๒. ศาสนาอิสลาม จะกลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยในทางพฤตินัย เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยตามแบบฉบับของ
ต่างประเทศ โจรจะอาศัย " อิสลาม " ขู่เอาสิ่งที่ต้องการ
อิสลามฝ่ายที่หัวใจเป็นไทยจะไม่กล้าคัดค้าน คนพุทธเองก็หมดสิทธิแสดงความคิดเห็น ฝ่ายนักการเมืองจะพากัน
เงียบ....เพราะเงียบมานาน ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนออกมาเคลื่อนไหวเลย ดังจะเห็นได้ อิสลาม
ประกาศฆ่าพุทธ ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนออกมาแสดงความเดือดร้อน
อาการสงบเช่นนี้ โจรยิ่งได้ใจ
โจรยิ่งจะอ้างศาสนาอิสลามหนักข้อยิ่งขึ้น เพราะทำแล้วได้ผล
เพื่อนที่ใต้เล่าให้ฟังว่าโจรจะสงบทันตาเห็นเมื่อใดก็ได้ ถ้าวันไหนพวกเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อนที่ใต้อีก
เช่นกัน พูดว่าประเทศไทยเสียทีโจรจนป่น** เพราะนึกว่าโจรมีจรรยาบรรณ คนที่นั่งบงการให้เกิดกบฏ รู้ดีว่า
ทัศนะคติของคนไทย เปิดช่องโหว่ตั้งแต่หัวถึงท้าย
คนที่บงการมีแน่ งานใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ การทำในแต่ละขั้นตอน มีการวางแผนยุทธศาสตร์ทั้ง
ระยะสั้นและระยะยาว มีเครือข่ายด้วยเงินทุนเป็นหมื่นล้านบาทขึ้น มีกองกำลังจัดตั้งทั้งภายในและนอกประเทศ
โจรปัตตานีไม่กระจอกเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ
แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ เหตุไฉนทางฝ่ายรักษาความมั่นคงของประเทศ จึงพากันชะล่าใจ ปล่อยให้โจรเติบโต
ใหญ่จนถึงขั้นกล้าประมือกับรัฐบาล สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า มีหนอนบ่อนไส้ครอบงำลึกเข้าไป
ในองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะ คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ
ผู้สันทัดกรณีบอกกับผู้เขียนว่า แม้แต่คนที่นั่งอยู่กับนายกรัฐมนตรี ก็มีใจเข้าข้างโจร
ในรัฐสภาก็มีหัวหน้าโจรใหญ่ปะปนอยู่หลายคน....ผู้สันทัดกรณียืนยัน
ใดๆ แม้แต่การที่พุทธต้องหนีตายไปพึ่งวัด ก็ไม่ได้เกิดจากอิสลาม
แท้ที่จริงพวกโจรปัตตานีสร้างกลลวงมายาวนาน จนปลุกให้อิสลามเป็นคนเหี้ยมโหดขึ้น มาช่วยเข่นฆ่าชาวพุทธ
ภายใต้การบงการ คือ พวกโจร ความจริงมันเป็นเช่นนั้น
ต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากปัญหาชนเผ่า แต่ถ้าพุดว่า เป็นปัญหาของชนเผ่า ก็จะเข้าใจยาก ทั้งนี้เนื่องจาก
ประเทศไทย ไม่เคยเอาใจใส่ในปัญหาของชนเผ่าต่างๆเลย เราแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ในประเทศไทยมีกี่
ชนเผ่า มีเผ่าอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าความคิดและความเชื่อของชนเผ่าเป็นอย่างไร
รัฐบาลผู้บริหารประเทศ ด้อยสติปัญญายาวนาน ปล่อยให้เรื่องของชนเผ่า เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและ
กัน ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าไทยตั้งแต่เดิมนั้น มีความยากจนข้นแค้น ความเป็นอยู่อนาถาไร้การศึกษา ไม่มีที่ทำกิน
ไร้ที่อยู่อาศัยไร้ที่พึ่ง ตกอยู่ในฐานะ ผู้เสียเปรียบทางสังคม
สภาพชีวิตที่แท้จริงฟ้องอยู่ในตัวว่า ชนเผ่าไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบชนเผ่าอื่น
ชั้นวรรณะที่แท้จริงของคนไทย คือพลเมืองชั้นสอง
นี่เป็นเรื่องของชนเผ่าไทยโดยแท้ ขนาดนี้ชนเผ่าอื่นกลับกล่าวหาไทยเอารัดเอาเปรียบ ชนเผ่าอื่นที่เข้ามาอยู่
ในประเทศไทย มาพบเจ้าของประเทศที่มาอาการหลับๆตื่นๆ ชนเผ่าไทย จึงตกเป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดกว่า
ยิ่งพระพุทธศาสนานั้น คนทีเข้ามาบวชล้วนแต่เป็นคนที่ยากจน การศึกษาก็น้อย จึงไม่รู้เท่าทันคนเผ่าอื่น ชนเผ่า
อื่นเอาเปรียบเพียงใดก็ทนได้ เพราะว่ารัฐบาลนำพาให้ทนอยู่...ทนสู้.....ชนเผ่าไทยเผชิญชะตากรรมมายาวนาน
ชนเผ่าอื่นนั้น เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาชีพ เขาไม่ได้ยากจนอนาถา เขาไม่มีความหนักใจที่จะอยู่กับคนไทย
เพราะยังไงเสีย อยู่กับคนไทยง่ายกว่าอยู่กับพวกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เขาหนักใจนั้น หรือไม่มีความพึงพอ
ใจทั้งหลายทั้งปวง เพราะเขาต้องการแยกตัวตั้งเป็นประเทศของตนเอง เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า " ซี
เซสเชิน " (Secession) จึงได้เกิดการกบฏ การคิดกบฏนั้น เป็นได้ทั้งความคิดทางชนเผ่า และความมัก
ใหญ่ใฝ่อำนาจ ต้องการเป็นหัวหน้าชนเผ่า หรือเป็นสุลต่านเสียเอง จึงคิดการใหญ่ เกิดการ ส้องสุมกำลัง
ผู้คน แล้วสร้างเงื่อนไขให้เกิดกรณีพิพาท เช่นการฆ่าพระไล่ล่าขาวพุทธ เผาบ้านเผาเรือน หาทางทำให้การ
ต่อสู้ขึ้น จะได้หาเรื่องเอามาโวยวายตามความชำนิชำนาญในการปั้นเรื่องของพวกโจร
จนแล้วจนรอด พุทธก็ยังไม่ต่อสู้ป้องกันตัวเอง
โจรจึงโวยวายเรื่องเก่า หาว่าพุทธรังแกทั้งๆที่ไม่ใช่ความจริง
เรื่องจริงของข้อขัดแย้งทั้งหมด เกิดจากการเป็นกบฏ หลังจากการกบฏก็มีการปราบปราม เมื่อถูกปราบปรามก็
โวยวาย แล้วใช้คำว่า "ประเทศไทยรังแก" ก่อกระแสทำให้เกิดความบาดหมางขยายวงกว้างออกไป ยิ่งมี
การตายเกิดขึ้น ยิ่งเป็นเงื่อนปมให้ยุ่งยากมากขึ้น
กรณีกรือเซะ และ กรณี ตากใบ คือวัตถุดิบชิ้นงามของพวกโจรก่อการร้าย
แต่...ถึงแม้จะกล่าวว่าปัญหาที่แท้จริงคือการกบฏ แต่ปัญหานี้เกิดมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูง และเกิดมาจาก
ความต้องการให้ชนเผ่าของตนแยกเป็นอิสระ โดยอาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม เป็นประหนึ่งหอบังคับ
การ ทำให้โจรปัตตานีได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงสรุปได้ว่า ในที่สุดปัญหาทั้งปวงเกิดจาก
ปัญหาชนเผ่าทั้งสิ้น
โจรก่อการร้าย มีใจต้องการปกครองตนเอง ไม่ต้องการขึ้นกับรัฐบาลที่ผู้บริหารไม่ใช่คนเชื้อชาติเดียวกัน โจร
จึงประกาศต่อสู้กับรัฐบาล โดยประกาศออกมาว่า เป็นการต่อสู้กับรัฐบาลไทย การประกาศเช่นนี้ เป็นการยืน
ยันให้เห็นว่า ตัวเขาไม่อยากเป็นคนไทย ถ้าเขามีความรักในความเป็นคนไทย เขาจะไม่ใช้คำประกาศว่า ต่อ
สู้กับรัฐบาลไทย แต่เขาจะต่อสู้กับ " ตัวบุคคล " เช่น ประกาศว่าสู้กับรัฐบาลทักษิณ หรือสู้กับรัฐบาลหุ่นอะไร
ทำนองนั้นดูตัวอย่าง โจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ไม่เคยประกาศแม้แต่ครั้งเดียวว่าสู้กับรัฐบาลไทย แต่ ผกค.
ประกาศว่า สู้กับรัฐบาลหุ่น ถนอม-ประภาส อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ตัวปัญหาที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย
มันเกี่ยวกับปัญหาหัวใจฝักใฝ่เชื้อชาติเดิมของพวกตนทิ้งไม่ได้ตะหาก แต่ทำอย่างไร รัฐบาลไทยจึงจะยอมรับว่า
ที่โจรยกเอาศาสนาอิสลามขึ้นมาอ้างเสมอนั้น เป็นยุทธการ " ลวง " ถามเช่นนี้แล้ว ก็อยากให้รัฐบาลรับรู้
ความจริงต่อไปว่า ปัญหาของอิสลามดั้งเดิมที่เคยมี ก็ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย ไม่ว่าจะเป็นสงครามครู
เสสกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ล้วนไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย
เรื่องในอดีตที่ศาสนาบาดหมางกันอย่างร้ายกาจรุนแรง เป็นการบาดหมางระหว่างอิสลามกับคริสตังค์ จนมีการ
ทำสงครามล้างเผ่าพันธ์ ดังที่ทราบ
พุทธไม่เคยมีปัญหากับอิสลาม แล้วไฉนกลับกลายเป็นปัญหาระหว่างพุทธกับอิสลาม
กระนั้นก็ตาม แม้ว่าศาสนาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยก็ตาม แต่บัดนี้ พวกโจรได้ขมวดเรื่องศาสนาทั้งหมดเข้า
เป็นก้อนเดียวกันเสียแล้ว จึงเป็นการยากที่จะแยกปัญหาโจรแบ่งแยกดินแดน ออกจากศาสนาอิสลามได้
ผมอยากยกเรื่องราว (ในเชิงซ้ำซากไปหน่อย) เอามาเล่าให้ฟัง จะได้เห็นปัญหานี้กระจ่างชัดมากขึ้น กล่าว
คือโจรได้สร้างปัญหาขึ้นในศาสนา ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม
ซึ่งเราก็รู้ดีว่า ความจริงนั้น ศาสนาไม่เคยมีปัญหา และเราก็รู้ต่อไปว่า มนุษย์ (หรือโจรปัตตานี) ตะหากพา
กันมีปัญหา
อีกประการหนึ่ง มนุษย์ (ขอนอกเรื่องว่า) ผู้เต็มไปด้วยอวิชชา มักจะต้องสร้างปัญหาให้กับสิ่งประเสริฐ ตัว
อย่างเช่น การสนทนาระหว่างนักวิชาการ ผมได้ยินเสมอ เขาชอบพูดว่า " เรามาถกปัญหาธรรมะกัน
เถอะ....? " ผมได้ฟังแล้วก็สะอึก นึกไม่ออกว่า ธรรมะมีปัญหาตรงไหน ทำไมมนุษย์จึงจำเป็นต้องถกกับ
ธรรมะว่ามีปัญหา เรื่องของเรื่องมันเป็นการใช้ภาษาที่ผิด ภาษาทีถูกต้องได้แก่ " เรามาถกเรื่องธรรมะกัน
เถอะ...ตะหาก " ซึ่งหมายถึงพวกที่มาถก ไม่มีความเข้าใจในธรรมะ ไม่รู้ว่าหลักธรรมข้อไหน สอนว่าอย่าง
ไร จึงต้องมาถก....
เพราะฉะนั้น เรื่องของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอิสลาม หรือพุทธ หรือคริสต์ ไม่เคยมีปัญหาด้วยประการทั้ง
ปวง เนื้อแท้ของศาสนาคือการสร้างคนให้เป็นคน ชาติไหนมีศาสนาก็เพื่อจะอาศัยศาสนาเป็นร่มเงา สร้าง
ความเจริญทางจิตใจ สร้างใจให้เกิดความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน และสุดท้ายถือว่าศาสนาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
แต่คนที่นับถือศาสนาเป็นผู้มีกิเลสหนา แล้วอาศัยศาสนาก่อปัญหาขึ้นมา
มีปัญหาเพราะไม่อยากให้มีศาสนาอื่นร่วมโลก ใช้ศาสนาเบียดเบียนคนอื่น
แท้ที่จริงมีปัญหา เพราะต้องการมีแต่ศาสนาของตนเพียงศาสนาเดียว บางคนชั่วร้ายถึงขั้นทึกทักเอาว่า ในโลกนี้
จะต้องมีศาสนาของตนคนเดี่ยว เห็นคนอื่นที่ไม่ได้นับถือเหมือนตนเป็นพวกคนบาปไปจนหมด แล้วก็เข่นฆ่าคนอื่น
อย่างไม่กลัวบาป ตรงกันข้ามกลับพูดว่าได้บุญ
ถ้าตัวเองถูกฆ่าบ้าง....จะยอมรับว่าคนอื่นที่ฆ่าเขาได้บุญไหมเล่า
ผมยกเอามากล่าวซ้ำซาก ก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นการกระทำของโจรก่อการร้าย ที่อ้างว่าพุทธรังแกอิสลาม
และอ้างต่อไปว่า อิสลามไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น เขาอ้างได้อย่างมีอำนาจ เนื่องจากฝ่ายรัฐบาล " นิ่งเฉย
" ไม่เคยที่จะแก้ข้อคิดเห็นที่ผิดพลาด
ถ้าจะแก้จริงๆ จะทำได้โดยไม่ยากเลย ผมลองคิดดูว่า ถ้าแก้ด้วยการออกค่าใช้จ่ายเหมาเครื่องบินให้คนกลาง
ในโลกสัก ๑๐ ลำ เชิญคนกลางทั่วโลกให้มาดู แล้วให้อยู่ฟรีกินฟรี ๑๐ เดือน ให้คนกลางมาแอบสังเกตุการณ์
เอง จะทำใต้ดินแบบสันติบาล หรือจะด้อมๆมองๆ ก็ได้ จะอยู่อย่างเปิดเผยก็ได้ ลงทุนเหมาลำให้คนทั้งหลาย
มาแอบดูว่าพุทธรังแกอิสลามจริงหรือ....แล้วจะได้ เห็นด้วยตา เมื่อเห็นแล้ว คนเหล่านั้นจะเป็นผู้พิสูจน์ให้รู้
ความจริง
ความคิดแบบนี้อาจจะดูโง่ไปหน่อย ถ้ากล้าทำ....จะเกิดภาพที่ชัดเจนอย่างแน่นอน
ทว่า....รัฐบาลไทยไม่คิดหาทางแก้ เอาแต่งมมะหรา ผวาโจรทุกกระบวนท่า
โจรว่ามาก็เต้นไปตามกระบอกเสียงของโจร เรื่องถึงได้เลวร้ายหนักข้อยิ่งขึ้น
ผมขอกล่าวต่อไปว่า ทุกเรื่องทุกวิธีการ โจรเอาศาสนามาเป็นทั้งทัพหน้าและ ทัพหลัง เป็นหน่วยจู่โจมทั้งทาง
การเมืองและทางสังคม และการเศรษฐกิจ เช่น ธนาคาร อิสลาม แล้วรุกคืบเข้าสู่ฐานอำนาจอย่างเอาจริง
เอาจัง โจรทำได้ผลทันตาเห็น อำนาจของอิสลาม กำลังจะกลายเป็นตัวแปร บังคับให้นักการเมืองพุทธที่ขาด
สติสัมปชัญญะ ไม่มีความเข้าใจในความปรารถนาของพวกโจร จะพากันแห่ทำตามข้อเสนอของโจร เรียกว่า
โจรจะขู่เอาอะไรก็ประเคนให้
กลเกมแบบนี้ ใจรได้ชัยชนะ ๒ ด้านในเวลาเดียวกัน๑. พวกโจร จะได้อำนาจใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
๒. ศาสนาอิสลาม จะกลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยในทางพฤตินัย เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยตามแบบฉบับของ
ต่างประเทศ โจรจะอาศัย " อิสลาม " ขู่เอาสิ่งที่ต้องการ
อิสลามฝ่ายที่หัวใจเป็นไทยจะไม่กล้าคัดค้าน คนพุทธเองก็หมดสิทธิแสดงความคิดเห็น ฝ่ายนักการเมืองจะพากัน
เงียบ....เพราะเงียบมานาน ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนออกมาเคลื่อนไหวเลย ดังจะเห็นได้ อิสลาม
ประกาศฆ่าพุทธ ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนออกมาแสดงความเดือดร้อน
อาการสงบเช่นนี้ โจรยิ่งได้ใจ
โจรยิ่งจะอ้างศาสนาอิสลามหนักข้อยิ่งขึ้น เพราะทำแล้วได้ผล
เพื่อนที่ใต้เล่าให้ฟังว่าโจรจะสงบทันตาเห็นเมื่อใดก็ได้ ถ้าวันไหนพวกเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อนที่ใต้อีก
เช่นกัน พูดว่าประเทศไทยเสียทีโจรจนป่น** เพราะนึกว่าโจรมีจรรยาบรรณ คนที่นั่งบงการให้เกิดกบฏ รู้ดีว่า
ทัศนะคติของคนไทย เปิดช่องโหว่ตั้งแต่หัวถึงท้าย
คนที่บงการมีแน่ งานใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ การทำในแต่ละขั้นตอน มีการวางแผนยุทธศาสตร์ทั้ง
ระยะสั้นและระยะยาว มีเครือข่ายด้วยเงินทุนเป็นหมื่นล้านบาทขึ้น มีกองกำลังจัดตั้งทั้งภายในและนอกประเทศ
โจรปัตตานีไม่กระจอกเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ
แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ เหตุไฉนทางฝ่ายรักษาความมั่นคงของประเทศ จึงพากันชะล่าใจ ปล่อยให้โจรเติบโต
ใหญ่จนถึงขั้นกล้าประมือกับรัฐบาล สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า มีหนอนบ่อนไส้ครอบงำลึกเข้าไป
ในองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะ คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ
ผู้สันทัดกรณีบอกกับผู้เขียนว่า แม้แต่คนที่นั่งอยู่กับนายกรัฐมนตรี ก็มีใจเข้าข้างโจร
ในรัฐสภาก็มีหัวหน้าโจรใหญ่ปะปนอยู่หลายคน....ผู้สันทัดกรณียืนยัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)